เที่ยวเชียงใหม่ ปาย ด้วยตัวเอง
วางแผนเดินทางกันก่อน
แผนการเดินทาง สำหรับผมเป็นเพียงแค่ให้เราจองที่พักได้ก่อนไปถึง แต่ส่วนเรื่องเที่ยวสำหรับผม ไม่ค่อยตรงตามแผนเท่าไหร่นัก ครั้งนี้ผมเลยวางแผนอยู่เชียงใหม่ 2 คืน ปาย 2 คืน เลยจองที่พักเชียงใหม่ 2 วัน ปาย 2 วัน ผมจองผ่าน agoda.com เว็บนี้ ส่วนตัวผม แนะนำเลยนะ อาจจะเจอแพงกว่าเว็บอื่นบ้าง แต่เว็บนี้มีดีตรงที่สามารถอ่านคอมเม้นต์คนที่ไปมาแล้วได้ล่วงหน้าสำหรับตัดสินใจได้ก่อนจองครับ ส่วนเรื่องเที่ยวและการเดินทางของผมมาติดตามกันเลยครับ
สาเหตุการเกิดทริปนี้ ^^
ประเด็นหลักในการเกิดการเดินทางเลย คือ สารการบินนกแอร์ออกโปรไปกลับในประเทศ 800 บาทต่อเที่ยวบิน ผมเลยลองทำการสุ่มจองดู ได้เวลาตามที่เห็น ผมว่าราคากับวันโอเคเลยนะ ลาพักร้อน 8-9 ธันวาคม ส่วนวันที่ 7 ธันวาคมครึ่งวัน รู้ตัวว่าป่วย ^^
เดินทางวันแรก
วันแรกวันอุปสรรคเรื่องงานเล็กน้อย เนื่องจากทะลึ่งมีประชุมงานช่วงเช้า เลิกบ่ายโมงกว่า เกือบมาสนามบินไม่ทันตามแผนรู้ตัวว่าจะป่วย พอมาถึงสนามบินสบายใจไปหนึ่งเปราะ ขึ้นเครื่องนกแอร์วันนี้ คนเพียบเลย แต่เบาะวันนี้สีสันสดใสมากเลยถ่ายรูปมาฝากกันให้ดู
พอถึงสนามบินเชียงใหม่ สองจิตสองใจ ว่าจะเรียกรถแท๊กซี่ดีไหม หรือเดินมาขึ้นข้างนอกสนามบิน คิดอยู่นานเลยตัดสินใจออกมาขึ้นนอกสนามบินดีกว่า เพราะเดินทางมาจากสนามบิน แล้วเดินมาทางขวานิดนึง จะเห็นยูเทินเดินเลยยูเทินมาโบกสองแถวแดงน่าจะเข้าท่ากว่า เพราะสองแถวแดงที่มาจากเซ็นทรัลแอร์พอร์ต หรือที่ชาวเชียงใหม่บางคนรู้ีดีในชื่อโรบินสัน ยังไงต้องมากลับรถที่ยูเทินนี้ ปรากฏว่าได้จริงๆ ได้รถสองแดงเชียงใหม่ ต่อรองราคาจบที่ 70 บาทเอง ถูกกว่าสนามบินที่คิดขั่นต่ำ 120 บาท และคุยกันค่อนข้างถูกคอเลยขอเบอร์ติดต่อไว้เลย เผื่อได้พาเที่ยวพรุ่งนี้ ^^
พอได้มาถึงที่พักแล้ว สกุลชัยเพลส ขอบอกใครจะหาชื่อที่พักแถวใกล้ๆนิมมานเหมินต์ ผมลองหาหมดแล้ว ราคากับทำเลผมว่าที่นี่โอเคสุดแล้วครับ ผมพักห้องแบบ Deluxe ราคาที่โรงแรมเวลาโทรสอบถามระบุไว้ 1,000 บาทต่อคืน แต่ผมจองได้ราคา 860 บาทครับ มีทีวี, ตู้เย็น, เน็ต wifi, ห้องน้ำมียาสระผม, ครีมอาบน้ำ, ถุงคลุมสระผม พร้อมทั้งน้ำอุ่นด้วยครับ มีรูปห้องพักให้ดูด้วยครับ ^^
เก็บข้าวเก็บของกันแล้ว มาลุยเชียงใหม่ยามค่ำคืนกันเลย เอาใกล้ๆก่อนละกันวันนี้ ถนนนิมมานเหมินต์ ถนนที่เป็นแหล่งรวมร้านค้า ร้านอาหาร สำหรับวัยรุ่นที่เชียงใหม่เลยก็ว่าได้ ช่วงที่ผมมาถือว่าโชคดีมาก เพราะที่ถนนนิมมานเหมินต์ ซ.1 มีการจัดงาน NAP 12TH จากที่ผมเดินมาจะเป็นร้านค้าพวกสินค้าแฮนด์เมทเยอะแยะมากมาย งานศิลปะสวยๆ สร้างไอเดียให้วัยรุ่นหัวทันสมัย ผมว่างานนี้สาวๆ น่าจะชอบนะครับ ผมเอาแผนที่ฉบับที่ผมใช้มาลงเผื่อท่านใดสนใจครับ
หลังจากเดินดูสินค้างาน NAP กันแล้ว กองทัพต้องเดินด้วยท้อง เริ่มหิวแล้วสิ หาของกินกันต่อดีกว่า เดินไปสะดุดตากับร้านบะหมี่เกี้ยวกุ้งร้านนึงเข้า น่ากินใช้ได้เลย อยู่ระหว่าง ซ.9 – ซ.11 ครับ ขอบอกว่าเกี้ยวกุ้งอร่อยมาก…ก
กินของคาวเสร็จแล้ว ต้องตบด้วยของหวานกันหละทีนี้
แนะนำร้านเค้กร้านนี้เลยครับร้านเค้ก Mont Blanc เป็นร้านเค้กหน้าตาและรสชาติออกสไตล์ญี่ปุ่นกับฝรั่งเศส ผสมกัน บรรยากาศร้านกับเค้กตามรูปเลยครับ
เริ่มจากเค้ก ชื่อเหมือนร้านเลย เค้กมองบลังค์ ตามด้วย สตรอเบอรี่ชอทเค้ก ถัดด้วยครีมบลูเล่ย์วนิลา ตบด้วยเครื่องดื่มมองบลังค์ไอซ์ เป็นกาแฟผสมเกาลัก รสชาติใช้ได้เลยกินเสร็จแล้วได้เวลานอนเก็บแรงไว้ลุยต่อพรุ่งนี้ครับ
เดินทางวันที่สอง
จากที่ได้เจอรถสองแถวแดงในวันแรก เจอได้คุยกันเรื่องราคาเหมารถเที่ยวที่ต่างๆ ในเชียงใหม่ ผมจึงตัดสินใจวินาทีสุดท้ายไป ดอยอินทนนท์ สนนราคาที่ตกลงไว้ 2,000 บาท เดินทางตอนตีสี่ แม่เจ้า!!! จะตื่นยังไงกันไหว จึงถามเค้าว่าทำไมต้องตีสี่ ได้คำตอบมาว่า น้องเดินทางเช้าๆ จะได้ดูพระอาทิตย์ขึ้นไง อีกทั้งรถไม่ค่อยติดบนดอยด้วย ผมคิดในใจ ตีสี่ก้อตีสี่ ยอมตื่นเพื่อชมความสวยงามธรรมชาติ
ยามเช้า มารับตามกำหนดที่โรงแรม ตีสี่พอดีเป๊ะ มีการโทรปลุกด้วย สงสัยกลัวเราจะเบี้ยว ^^
บรรยากาศยามตีสี่ก่อนพระอาทิตย์ขึ้นเงียบมากครับ ผมนั่งข้างหลังลมเย็นสุดๆ ควรเตรียมเสื้อกันหนาว ใส่กางเกงขายาว พร้อมถุงเท้าจะช่วยได้มากเลยครับ
นั่งรถมาประมาณชั่วโมงครึ่ง ถึงทางขึ้นดอยอินทนนท์ ผมหนาวไม่ไหวแล้ว เลยขอมานั่งข้างรถขับ เพราะวันนั้นผมไม่คิดจะหนาวมาก เลยใส่เสื้อ มีเสื้อคลุม กางเกงขาสั้นไป ซึ่งผมคิดผิดมากที่ใส่ชุดนั้น
จุดแรกที่แวะจอด คือจุดชมวิวที่นักท่องเที่ยวรอถ่ายรูปพระอาทิตย์ขึ้นกัน คนถือว่าเยอะเลย
จุดที่สองที่แวะจอด คือ จุดสูงสุดของดอยอินทนนท์ เป็นจุดที่ถือว่าสูงสุดในประเทศไทยครับ โชคดีของผมที่ผมมาได้เจอน้ำค้างแข็งบนยอดไม้ หรือที่รู้จักกันว่า แม่คะนิ้ง ประทับใจมากครับ เพราะที่ตั้งใจมาวันนี้เพราะอยากเห็นปรากฏการณ์นี้มากครับ ใครที่อยากเห็นผมแนะนำควรเตรียมตัวตื่นขึ้นมาดอยอินทนนท์ก่อนหกโมงเช้าครับ รับประกันเห็นแน่นอนครับ
จุดที่สามที่แวะจอด คือ พระมหาธาตุนภเมทนีดล(รูปซ้าย) และพระมหาธาตุนภพลภูมิสิริ (รูปขวา) ทั้งวิวทั้งอากาศพระมหาธาตุทั้งสอง ผมถือว่าสุดยอดมากครับ อีกทั้งมีสวนสวยๆ ให้สาวที่ชอบถ่ายรูปเพลิดเพลินกันหลายมุุมทีเดียว รวมถึงมีร้านอาหารกินยามเช้า รวมทั้งร้านขายของที่ระลึกเป็นจุดหนึ่งที่มาดอยอินทนนท์ห้ามพลาดด้วยประการทั้งปวงครับ
จุดที่สี่ที่แวะจอด และถือว่าเป็นจุดสุดท้ายของทริปดอยอินทนนท์ครั้งนี้ คือ น้ำตกวชิรธาร เป็นน้ำตกที่ถือว่าใกล้ที่จอดรถมาก ประมาณว่าจอดรถแล้วเห็นเลยครับ แต่น้ำตกนี้ขนาดหน้าหนาวน้ำไหลเชี่ยว สังเกตุจากพื้นที่ชุ่มไปด้วยน้ำ บ่งบอกว่าธรรมชาิติที่นี่สมบูรณ์มากครับ
เที่ยวครบแล้ว ได้เวลาพักผ่อน ผมกลับถึงโรงแรมประมาณ 10.30 น. แล้วหลังจากนั้นก็หลับยาวตื่นมาอีกทีเกือบบ่ายสองเลยครับ ^^
ตื่นมาแล้วอาบน้ำอาบท่า เตรียมตะลุยต่อเลยครับ ที่ต่อไปที่ผมไปแวะเยี่ยมเยือนมา คือ งานมหกรรมพืชสวนโลก พอดีผมซื้อบัตรแบบไม่จำกัดจำนวนไว้ ฉะนั้นเลยแวะไปดูก่อนงานจะเปิดซะหน่อยดีกว่าเดี๋ยวผมค่อยเขียนเกี่ยวกับพืชสวนโลกให้ติดตามชมกันภายหลังนะครับ
เดินพืชสวนโลกจนปิดเลยครับ อิอิ เลยตัดสินใจกลับมาที่พัก นอนเอาแรงอีกรอบครับ เพราะเดินจนเมื่อยมากเลยครับ ตื่นอีกทีเกือบทุ่มครึ่งเลยครับ คิดว่าจะทำอะไรต่อดี
เริ่มต้นด้วยเอารูปหน้าทางเข้ามาฝากกันก่อนนะครับ ตอนที่ีผมไปยังไม่เปิดเป็นทางการครับ แต่เข้าได้เพราะเส้นใหญ่ เย้ย!!! ไม่ใช่ละ พอดีซื้อตั๋วมาก่อนครับ ซึ่งตั๋วจะมี 2 ประเภทครับ สำหรับคนทั่วไปที่ไม่ได้มาเป็นหมู่คณะนะครับ
ประเภทแรก ตั๋วประเภทเข้าครั้งเดียว ระบุวันเข้า ตอนนี้ตั๋วราคาเต็ม 200 บาทครับ เข้าได้ครั้งเดียว ประเภทที่สอง ตั๋วประเภทเข้ากี่ครั้งก็ได้ จนกว่างานจะหมดครับ ตั๋วราคาเต็ม 800 บาท แต่ตอนที่ผมซื้อมันลด 50 % เลยได้ซื้อตั๋วได้ราคา 400 บาท ^^
มาเิ่ริ่มต้นเที่ยวกันเลยงับ เข้ามาเจอสวนสวัสดีรอต้อนรับนักท่องเที่ยว พร้อมทั้งมีรถบริการรอบ งานพืชสวนโลก ซึ่งมีสถานีจอดรับส่งทั้งหมด 12 สถานี ค่ารถ 30 บาท ครับ สามารถขึ้นลงได้ตลอดทางเลย เพียงแต่เก็บตั๋วไว้ให้ดี เพราะจะโดนตรวจทุกครั้งเลยครับ แต่ผมขึ้นได้สถานีเดียวครับ ที่เหลือเดินครับ เพราะรู้สึกว่า รถมันไม่ทันใจครับ เนื่องจากรถจะมีระยะเวลาออกอยู่ครับ แต่เดินถ้าอยากไปไหนก็ถึงเลยครับ ไวทันใจดีครับ ^^
ก่อนอื่นผมเอาแผนที่เที่ยวงานพืชสวนโลกมาฝากกันก่อนครับ ไม่สงวนสิทธิ์ในการเซฟแผนที่ครับ
เนื่องจากผมเดินทั้งหมด ไม่แน่ใจเรื่องสถานีลงรถนะครับ ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย รอบหน้าผมไปอีกรับรองจะนั่งเขียนให้ทุกสถานีเลยครับ
เริ่มต้น กรมทรัพยากรน้ำบาดาล เป็นสวนน้ำบาดาล ตามชื่อครับ มองไปใกล้จะเจอ กรมการข้าว เป็นนาข้าวเขียวขจี, กรมพัฒนาที่ดิน, ร้านค้าไทยเดนมาร์ก ตรงนี้ผมชอบถังขยะบริเวณงานมากครับ
เดินมาทางเรื่อยๆ จะเจอสวนมากมาย ซึ่งสวนหนึ่งที่ผมประทับใจ คือสวนของเทศบาลนครเชียงใหม่ ขอพระองค์ทรงพระเจริญ ทรงพระเจริญ ทรงพระเจริญ ^^
เดินจากสวนเทศบาลนครเชียงใหม่ จะพบสวนสวยของสองธนาคารใหญ่ คือ ธกส กับ ธนาคารกรุงไทย
เดินไปอีกนิดจะเอาอุโมงค์ฟัก ไม่แน่ใจของหน่วยงานไหนนะครับ แต่ลูกใหญ่มากก
เลยอุโมงฟักไปหน่อย จะเจอสวนของสองบริษัทยักษ์ใหญ่ CAT กับ เครือเจริญโภคภัณฑ์ ครับ
เดินเลยมาอีกนิดจะเจอสวนกล้วยไม้นานาพันธุ์ บรรดาสาวกกล้วยไม้ไม่ควรพลาด รวมทั้งผมด้วยไม่พลาดที่จะเข้าไปถ่ายรูปสวนกล้วยไม้แน่นอนครับ ^^
ออกจากสวนกล้วยไม้ จะเจอกับห้าสวนใหญ่ คือ สวนประเทศอิหร่าน สวนบางกอกแอร์เวย์ สวนแมลงสวนเมืองไทยประกันชีวิต และปิดท้ายด้วยสวนเด็กครับ
ถัดมาอีกหน่อย จะเริ่มเป็นสวนนานาชาติแล้วครับ เริ่มจากสวนประเทศลาว, ประเทศสเปน, ประเทศอินโดนีเซีย, ประเทศบังคลาเทศ, ประเทศมาเลเซีย, ประเทศกาตาร์, ประเทศตุรกี และปิดท้ายด้วยสวนประเทศฮอลแลนด์
เลยสวนนานาชาติมาแล้ว จะพบกับหนึ่งในสถานที่ห้ามพลาดด้วยประการทั้งปวงของงานพืชสวนโลก ได้แก่ กระเช้าลอยฟ้า แต่เสียดายตอนที่ไปยังไม่เปิดให้ขึ้นชม แต่รอบหน้ารับรองไม่พลาดแน่นอนครับ
เดินมาทางขวานิดนึง จะเจอกับอีกจุดหนึ่งที่พลาดไม่ได้ คือ หอคำหลวง ถ้าจำไม่ผิดมีสถานีรถมาจอดที่นี่ด้วย ผมว่าเป็นจุดขายของงานพืชสวนโลก ครั้งนี้เลยครับ อลังการงานสร้างมาก สุดยอดจริงๆ ครับ ผมเลยจัดรูปมาฝากแบบจัดเต็มกันเลยทีเดียว ^^
เดินทางมาถึงสถานีที่แปดแล้ว สถานีเวทีวัฒนธรรม เดินทางถึงเรือนร่มไม้ แวะถ่ายรูปพักเหนื่อย เพราะเดินมาเริ่มเหนื่อยและ > <
หายเหนื่อยกันแล้ว เดินต่อกันมานิด เจอสวนไม้ดัด กับ สัญลักษณ์ประหลาดอันนึง เลยถ่ายรูปมาฝาก
ผ่านมาอีกนิดจะเจอ สวนกรมประมง, อาคารเรือนพืช ทั้งสาม คือ พืชทะเลทราย พืชไร้ดิน และพืชเมืองหนาว และตบท้ายด้วยโคมไม้เขตร้อนชื้น
เดินทางใกล้ถึงทางออกแล้ว เจอแผนที่ืบริเวณงานพืชสวนโลก ผมว่าทำได้น่ารักดีเหมือนกัน
ถึงสถานีที่ 11 สถานีลานวัฒนธรรมแล้ว เป็นสถานีที่ทางพนักงานจะเก็บตั๋วเราตอนขึ้นรถไม่สามารถเก็บไว้ขึ้นครั้งต่อไปได้อีกแล้ว บริเวณสถานีจะมีหมู่บ้านเรือนไทย พร้อมทั้งเป็นมุมที่เห็นหอคำหลวงได้
เดินทางใกล้ถึงทางออกแล้วครับ เจอสัญลักษณ์ประหลาดอีกแล้ว กับสวนบอนไซ อำลานักท่องเที่ยว
สำหรับข้อมูลพืชสวนโลกวันนี้ อาจจะไม่ครอบคลุมทั้งหมด หากผมมารอบหน้าจะเก็บข้อมูลมาลงให้ครบกันเลยทีเดียว สุดท้ายก่อนจากกันมีรูปซุ้มทางออกเป็นรูปสุดท้ายที่จะมาฝากกันในครั้งนี้ครับ ^^
เที่ยวงานเชียงใหม่ แฟมิลี่ คาร์นิวัล กันต่อดีกว่าครับ พอถึงแล้ว ไฟละลานตามากเลยครับ ในงานมีทั้งซุ้มขายของ เครื่องเล่นมากมาย เวทีแสดงโชว์ รวมทั้งซุ้มโดราเอม่อน ซึ่งสาวกโดราเอม่อนน่าจะเป็นที่ชื่นชอบมากครับ
เที่ยวได้เวลาอันสมควรและ เลยกลับมาที่พัก แต่ปัญหาตอนกลับก็คือ มันไม่มีรถกลับ เอาไงหละ > < พอดีเดินไปเจอตำรวจเชียงใหม่อยู่ท่านนึง พอดีไม่ได้ดูชื่อไว้ อยากขอบคุณตำรวจท่านนี้มากๆ ที่โบกรถคนที่ไปเที่ยวงานแล้วเดินทางกลับเมือง ให้เราติดรถเค้าไปลงเพื่อเรียกรถแดงกลับที่พักครับ ยังไงต้องขอบคุณ ณ ที่นี่มากมากด้วยครับ ผมซึ้งน้ำใจคนเชียงใหม่มากเลยครับ
เดินทางวันที่สาม
จากการที่วางแผนไว้ตอนแรก วันนี้ต้องไปปายแล้วหละสิ จะไปยังไงดีหนอ สนองความต้องการตัวเองเลยดีกว่า อยากบินเครื่องบินเล็กไปปายนานและ เอาซะหน่อย หาข้อมูลเจอสายการบิน kanairline สายการบินเดียวที่บินตรงจากเชียงใหม่ไปปายเท่านั้น ค่าใช้จ่ายตอนผมไปเป็นช่วงโปรโมชั่นของสายการบินนี้ ตกคนละ 1,990 บาท ใช้เวลาเดินทางจากเชียงใหม่ไปปาย ประมาณ 30 นาที ถ้าเป็นเสาร์อาทิตย์จะมี 2 รอบไปกลับครับ ผมถึงปายก็ประมาณ 11.30 น. รอรถโรงแรมมารับสบายเลยถ่ายรูปเครื่องบินมาฝากกันครับ
คืนแรกจอง Pai A Ars เป็นที่พักไว้ รีสอร์ทเงียบสงบ ริมแม่น้ำของ อาจจะไกลจากเมืองซะหน่อย แต่สำหรับคนรักธรรมชาติและความสงบไม่น่าจะมีปัญหาแต่อย่างใด ผมเลือกพักห้องพักริมน้ำ ผมจองประมาณ 1,650 บาทครับ ซึ่งได้ถ่ายรูปห้องพัก พร้อมทั้งเอาแผนที่มาฝาก เผื่อท่านใดสนใจ รับประกันเลยครับเจ้าของใจดีมาก พาผมไปเช่ามอไซค์ในตัวเมืองปายด้วยครับ ส่วนค่าเช่ามอไซค์ในปายมีตั้งแต่ราคา 100-140 บาท ขึ้นอยู่กับยี่ห้อรถครับส่วนน้ำมันเติมเองนะครับ ^^
สภาพห้องพักน่ารักดีครับ ทั้งห้องนอนแล้วห้องน้ำครับ ห้องพักแบบง่ายๆ ไม่มีตู้เย็น ไม่มีทีวี แต่จะบอกว่าเตียงมีกลิ่นหอมเหมือนอยู่ในสปาหลับสบายมากมาย ไม่ต้องมีสิ่งอำนวยความสะดวกมาก ได้ยินเสียงน้ำไหล นกร้อง บรรยากาศเหมาะสำหรับคนรักธรรมชาติอย่างแท้จริงครับ
หลังจากเก็บข้าวเก็บของ อาบน้ำอาบท่าสดชื่นแล้ว ตะลุยกันต่อกันเลยดีกว่า จะได้ไม่เสียเวลาครับ
สถานที่แรกของการเที่ยวปายวันแรกครับ คือ หมู่บ้านจีนยูนาน ไปในสภาพหิวโซมาก ไปเจอร้านอาหารจีนยูนาน ผมดูมาหลายเว็บกับถามเจ้่่าของที่ผมไปพักเค้าแนะนำมากินที่นี่ ผมเลยจัดเต็มมือนี้ ตอนแรกคิดไว้จะสั่งขาหมูทอด พอไปเห็นโต๊ะข้างๆ เปลี่ยนใจแทบไม่ทัน เพราะมันเยอะมาก กินคนเดียวคงไม่ไหวมั้ง เลยจบที่ ก๊วยเตี๋ยวยูนนาน, หมั่นโถ่วธรรมดา 2 ลูก และ หมั่นโถ่วทอด 2 ลูก แถมมีน้ำชาบริการให้กินฟรีอีกต่างหาก แจ่มเลย รสชาติอาหารสมคำล่ำลือ อร่อยเลยครับ
อิ่มหนำสำราญกันแล้ว เที่ยวชมวิวกันต่อที่ จุดชมวิวหยุนไหล ซึ่งสามารถขับมอไซค์ขึ้นไปได้ครับ แต่ถ้าเป็นรถยนต์แนะนำรถกระบะจะดีกว่าครับ เพราะทางค่อนข้างแคบและชันมากครับ
ผมเอารูปตอนกลางวันมาฝากให้ดูครับ แต่เดี๋ยวจะมีรูปตอนเช้ามืดมาให้ดูครับ ติดตามอ่านต่อนะครับ พอออกจากหมู่บ้านจึนยูนนานแล้ว ไปไหว้พระต่อที่วัดน้ำฮูครับ วัดนี้มีจุดพิเศษ เรียกว่าเป็น Unseen in Thailand ก็ว่าได้ครับ เพราะมีน้ำไหลออกจากเศียรพระของวัดนี้ตลอดเวลาครับ ชาวบ้านเชื่อว่าเป็นน้ำศักดิ์สิทธิ์ครับ
ไหว้พระเอาฤกษ์เอาชัยกันแล้ว เดินทางออกมาจุดเที่ยวรอบปายครับ เริ่มที่ไกลสุดก่อนละกัน
เริ่มด้วยสะพานประวัติศาสตร์ปาย อยู่ห่างจากปาย 8 กิโลเมตรได้ครับ หากท่านใดนั่งรถยนต์มาจากเชียงใหม่จะเจอสะพานนี้ก่อนครับ เป็นเหมือนจุดที่บ่งบอกว่าเราถึงปายแล้วครับ วิวแม่น้ำปายบริเวณนี้ถือว่าสวยงามมากครับ
จัดต่อไปเลยครับ ที่ต่อไป คือ กองแลน หรือ ปายแคนย่อน เป็นจุดหนึ่งที่สามารถชมวิวพระอาทิตย์ตกดินได้ด้วยครับ เป็นอีกจุดหนึ่งที่ไม่ควรพลาดหากได้มาปายครับ
เริ่มจะมืดแล้ว ขับมอไซค์คนเดียว ลมเริ่มแรง หนาวจับใจเลยครับ ใครทีี่่จะขับมอไซค์เที่ยวหน้าหนาวเหมือนผม แนะนำเตรียมอุปกรณ์ป้องกันความหนาวมาด้วย เช่น ถุงมือ ถุงเท้า เสื้อคลุมกันหนาวซักตัว จะสุดยอดมากเลยครับ
เหนื่อยมาทั้งวันแล้ว แวะชิวกินกาแฟกันหน่อยดีกว่า เจอ Coffee In Love ถึงมาคนเดียว แต่จะแวะชิวก็ไม่น่าใช่เรื่องแปลก เพราะวิวที่นีก็สวยไม่แพ้ที่ใดเลยครับ
นั่งชิวเสร็จแล้ว อากาศเริ่มค่ำแล้ว ได้เวลาเดิน ถนนคนเดิน แล้วสินะ คนวันนี้ยังไม่ถือว่าเยอะ เพราะยังเป็นคืนวันศุกร์อยู่ครับ แต่ร้านค้ายังเปิดร้านกันอย่างคึกคัก และร้านแต่ละร้านยังมีการตกแต่งน่ารักด้วยครับ ส่วนท่านใดที่ชอบเขียนการ์ดส่งให้คนที่คิดถึง เพื่อนหรือแฟน รับรองมาเดิน ถนนคนเดิน ไม่มีผิดหวังครับ เดินกันเสร็จแล้ว เหนื่อยมากมายเลย แต่เป็นวันนึงที่ผมประทับใจมากครับ
เดินทางวันที่สี่
วันนี้ต้องตื่นเช้าอีกวันแล้วสิเนอะ ทำไงได้อยากเห็นบรรยากาศดีๆ ต้องแลกกับการนอนตื่นสายกันหน่อย จากที่เมื่อวานได้ไปจุดชมวิวหยุนไหลมาแล้ว แต่ครั้งที่แล้วเป็นแค่การสำรวจเส้นทางไปเท่านั้น วันนี้สิของจริงครับ พอเห็นวิวที่จุดชมวิวหายเหนื่อยหายง่วงเป็นปริทิ้งเลย
บรรยากาศยามเช้าอันหนาวเหน็บ เที่ยวแล้วก็เริ่มหิว ลงจากจุดชมวิวหยุนไหล ก็ต้องหาอะไรกินมือเช้าในเมืองปายซักหน่อย ขับมอไซค์ไปสะดุดร้านขายโจ๊้ก และร้านขายไข่ป่าม ขายอยู่ติดกัน น่ากินมากมาย หรืออาจจะเป็นเพราะหิวก็อาจเป็นได้ ^^
พอกินเสร็จ เข้าตำราหนังท้องตึง หนังตาหย่อนเริ่มเหนื่อยล้า เลยตัดสินใจขี่มอไซค์กลับที่พักนอนพักได้ผ่านทุ่งนาแห่งเมืองปายที่ยามเช้าช่างสวยจับใจไม่ชักภาพก็คงเสียดายแย่
พอถึงที่พักเห็นบรรยากาศยามเช้าอดไม่ได้ที่จะนั่งเล่นริมน้ำฟังเสียงน้ำไหล นกร้องยามเช้า ผ่อนคลายอารมณ์ตรึงเครียดจากความวุ่นวายในเมืองได้เป็นอย่างดีก่อนเข้านอนเอาแรงต่อไป
สะดุ้งตื่นกว่าเกือบเที่ยงแล้ว ตายและ น้ำท่าก็ยังไม่ได้อาบ แถมยังต้องเก็บของเปลี่ยนที่พักไปอีกที่อีก เนื่องจากจองที่นี่ได้คืนเดียว เลยต้องไปพักที่อื่น เอายังไงดีหว่า เก็บของไปทั้งยังงี้แหละวะ ค่อยไปอาบน้ำของที่พักอีกที่หนึ่งดีกว่า ว่าแล้วเก็บข้าวเก็บของถึงเที่ยงครึ่ง ไปเจอเจ้าของที่พัก เจอหน้าแล้วต้องขอโทษเค้าก่อนเพราะ Check Out เกินเที่ยง แต่กลับได้รับคำตอบกลับมาว่า ไม่เป็นไรน้อง อาบน้ำหรือยัง อาบก่อนไหม พี่ไม่ซีเรียสอะไร ดีใจด้วยซ้ำที่น้องนอนที่นี่เต็มอิ่ม เราประทับใจคำพูดเจ้าของที่นี่มาก แต่ไม่เป็นไร เราไปอาบน้ำอีกทีก้อได้ ^^
ขับรถมอไซค์แว๊นออกมาจากที่เดิมซักพักเพื่อเปลี่ยนมาพักอีกที่นึง ก็เจอ ที่พัก บ้านกระทิงปายรีสอร์ท ที่พักสำหรับวันนี้แล้ว ไม่ไกลกันมาก
อาบน้ำอาบท่า เก็บข้าวเก็บของ กินข้าวในที่พักใหม่เรียบร้อยแล้ว กินเวลาเกือบบ่ายสองแล้ว ตะลุยเที่ยวต่อกันดีกว่า ผมตัดสินใจขับมอไซค์ชิวเลาะถนนเส้นไปพระธาตุแม่เย็น ทะลุออกไปทางโป่งน้ำร้อนท่าปาย รถก้อน้อย บรรยากาศสุดยอดเลยครับ ขับมาเรื่อยจะเจอปางช้างที่มีนักท่องเที่ยวมาให้อาหาร พร้อมทั้งสามารถนั่งช้างชมวิวได้ด้วยครับ เสียดายรอบนี้ผมไม่ไ้ด้นั่งช้าง รอบหน้ามีโอกาสจะมานั่งครับ ^^
ขับมอไซค์ชิวๆ มาประมาณสิบห้านาที ก้อถึงจุดหมายปลายทางของเราที่แรกครับ โป่งน้ำร้อนท่าปาย เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่นักท่องเที่ยวสามารถผ่อนคลายโดยการแช่น้ำแร่ร้อนๆ จากปรากฏธรรมชาติที่เกิดจากโป่งน้ำร้อน ได้บรรยากาศผ่อนคลายใช้ได้เลยครับ อีกทั้งยังสามารถเอาไข่มาต้มให้เกิดยางมะตูม อร่อยอยากบอกใครเชียว ใครมาปายแล้วไม่ควรพลาดที่จะมาโป่งน้ำร้อนท่าปายครับ
พอผ่อนคลายจากการแช่น้ำร้อนเสร็จแ้ล้ว ออกเดินทางออกมาทะลุทางหลวงหมายเลข 107 แม่สะเรียง-ปาย เลี้ยวขวาผ่านสะพานประวัติศาสตร์ ขับมอไซค์มาเรื่อยๆ สะดุดตากับสตรอเบอรี่ยักษ์ อ่านไปอ่านมา มันก้อคือไร่มนตรี นี่เอง เป็นไร่ที่ปลูกสตรอเบอรี่ แถมยังทำเป็นรีสอร์ทให้คนเข้าพักอีกด้วยครับ ผมเลยตัดสินใจแวะชิวด้วยการกินสตรอเบอรี่ปั่น พร้อมทั้งดื่มด่ำบรรยากาศวิวภูเขายามเย็น
ใกล้จะค่ำแล้ว ลุยกันต่อดีกว่า เดินทางมาซักพักเห็นทางไปน้ำตกแพมบก น่าสนใจดีแฮะ มาปายรอบนี้ยังไม่ได้เที่ยวน้ำตกเลย เลยขับเข้าไปเที่ยวน้ำตก ระยะทางจากทางเข้าประมาณ 8 กิโลเมตร ได้ครับ ระหว่างทางไปน้ำตก ผ่านแผ่นดินแยก แต่ผมตัดสินใจเดินทางเข้าไปเที่ยวน้ำตกก่อนครับ แล้วค่อยออกมาแวะที่แผ่นดินแยก พอถึงน้ำตกจะมีที่จอดรถเดินเข้าไปซักพักก็เจอน้ำตกเลยครับ ไม่ไกลมาก ภาพเบื้องหน้าเห็นเป็นน้ำตกที่ตกลงมาจากร่องเข้าซึ่งสวยงามมากครับ ทั้งสามารถลงเล่นน้ำได้ด้วย
ดื่มด่ำบรรยากาศน้ำตกแพมบกเสร็จแล้ว ก็ถึงเวลาเดินทางกลับ ซึ่งจะผ่านแผ่นดินแยก ที่เคยนำเสนอเอาไว้ ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติที่แผ่นดินบริเวณนี้จะเกิดรอยแยกทุกปี ซึ่งส่วนตัวผมว่ามันแปลกมากเลยครับ ซึ่งสามารถขับมอไซค์ขึ้นไปดูบริเวณที่เกิดแผ่นดินแยกได้เลย ไม่ต้องเดินให้เมื่อยเลย
พอขึ้นมาถึงข้างบน มีจุดชมวิวให้เราได้นั่งพักถ่ายรูป รวมทั้งเดินดูแผ่นดินแยก อีกทั้งมีต้นไม้ประหลาดอีกชนิดหนึ่ง คือ ต้นจั๊กจี้ เป็นต้นไม้ที่เราเพียงเอามือไปถูบริเวณผิวต้นไม้มัน ต้นไม้จะเกิดอาการสั่นเหมือนอาการคนจั๊กจี้เลยครับ แปลกดีเหมือนกัน เลยถ่ายรูปต้นไม้ดังกล่าวมาให้ดูัด้วยครับ
พอถึงเวลาอันสมควรที่จะกลับมายังเมืองปาย ผมก็ขับรถมาปายโดยเร็วเพราะไม่อยากให้ติดมืดระหว่างทาง เพราะกลัวรถเยอะแถมอันตรายด้วย ผมขับมาถึงเมืองปาย แวะเดิน ถนนคนเดินปาย หน่อย ปรากฏว่าวันนี้คนเยอะมาก ไปสะดุดตา ร้านขายน้ำสมุนไพรร้านนึงเข้า คนขายโดนใจผมมาก เลยสั่งน้ำตะไคร้กินซักหน่อย รสชาติหอมหวานมากเลยครับ สุดยอดจริงๆ
เดินถนนคนเดินซักพัก รู้สึกเหนื่อยมากเลยตันสินใจกลับที่พัก พักผ่อนหลับเอาแรงเผื่อเดินทางกลับวันรุ่งขึ้นครับ
เดินทางวันที่ห้า วันสุดท้ายของทริปนี้ครับ
วันนี้สะดุ้งตื่นมาแต่เช้าเลย แอบแซง แต่ก้อเหมือนโชคช่วยเล็ก เพราะต้ดสินใจขับมอไซค์ออกไปจองตั๋วรถตู้กลับเชียงใหม่ ปรากฏว่าเหลือรอบเช้าอยู่ที่นั่งเดียว ตอนแปดโมงครึ่ง ที่เหลือเต็มหมด จะว่างอีกทีบ่ายสามโมงเย็นเลย แม่เจ้า!!! ตอนที่ไปจองแปดโมงเช้าแล้ว เลยตัดสินใจซื้อตั๋วมาแล้วรีบอาบน้ำเก็บข้าวของ คืนมอไซค์แล้วมาขึ้นรถตู้ทันแบบเส้นยาแดงผ่าแปด ค่าโดยสารรถตู้ตกคนละ 150 บาทครับ ขอแนะนำถ้าไปช่วงเทศกาลก่อนกลับวันนึง ให้ไปจองล่วงหน้าไว้ได้เลยครับ ส่วนเที่ยวรถจากปายมีหลายเที่ยว หลายรูปแบบการเดินทาง ทั้งรถตู้ รถโดยสาร ราคาก็ต่างกัน ผมเลยถ่ายรูปมาลงไว้ให้ด้วยครับ แต่อาจจะดูยากนิดนึงส์ ต้องขออภัยจิงๆ
มาถึงสถานีขนส่งอาเขตจังหวัดเชียงใหม่ประมาณเที่ยงครึ่งได้ครับ ท้องหิวพอดีเลยแวะกินร้านข้าวซอย แถวสานีขนส่งอาเขตเลยครับ รสชาติผมว่าอร่อยทีเดียวเลยครับ
อิ่มหนำสำราญกันแล้ว ผมเลยตัดสินใจโบกรถไปเซ็นทรัลแอร์พอร์ตเชียงใหม่ เพื้อไปรอขึ้นเครื่องของนกแอร์ ซึ่งเป็นบริการที่ทางนกแอร์ร่วมมือกับเซ็นทรัลแอร์พอร์ตครับ ซึ่งมีที่เชียงใหม่ที่เดียวครับ ที่มีที่นั่งให้รอฝากของ รวมทั้ง Check-In ก่อนเวลาเดินทางได้เกินสองชั่วโมง พร้อมทั้งรถรับส่งสนามบินด้วยครับ เป็นบริการที่สุดยอดจริงๆ
พอถึงเซ็นทรัลแล้ว นั่งรอจนเริ่มหิวเลยออกมาอาหารทานซะหน่อย กินอะไรดีน้อ ไปสะดุดตาร้าน Secret Recipe บรรยากาศสาขาที่เชียงใหม่น่านั่งดีแฮะ หาอะไรกินซะหน่อยดีกว่า ผมเลยสั่ง มะกะโรนีกุ้งอบชีส น้ำเปล่า พร้อมซุปเห็ดหอม ซึ่งเป็นอาหารชุดเซทที่ทางที่นี่มีให้เลือกตามราคาครับ
กินเสร็จก็ได้เวลาเดินทางไปสนามบินเพื่อรอขึ้นเครื่อง รอไม่นานก็ได้ขึ้นเครื่องกลับมายังสนามบินสุวรรณภูมิ แล้วก็เดินทางต่อกลับบ้าน ถึงบ้านอาบน้ำผมหลับแบบไม่รู้เรื่องเลยครับ สงสัยเหนื่อยมาก
สำหรับทริปเที่ยว เชียงใหม่ ปาย คนเดียว ครั้งนี้ ขอบคุณทุกท่านที่มาติดตามอ่านกันนะครับ อาจไม่ถูกใจบางคนบ้าง ยังไงก็ขอบคุณทุกท่านมากครับ ^^
ยังไงติดตามกันต่อนะครับ โปรแกรมทริปหน้าจะเป็นที่ไหน ติดตามอ่านกันต่อครั้งต่อไปได้ที่
Facebook : http://www.facebook.com/TeawMuNDotCom