เที่ยวเสียมราฐ พนมเปญ ฮานอย ซาปา ดานัง ปากเซด้วยตัวเอง
วางแผนการเดินทาง
แผนการเดินทางครั้งนี้เดินทางเที่ยว 3 ประเทศ ได้แก่ กัมพูชา เวียดนาม และลาว โดยแผนการเดินทาง มีดังนี้
เริ่มต้นจากกรุงเทพ ไป เสียมราฐ (1) เที่ยวนครวัด นครธม พัก เสียมราฐ 2 คืน
จากเสียมราฐ ไป พนมเปญ (2) เที่ยวในเมืองพนมเปญ พัก พนมเปญ 2 คืน
จากพนมเปญ ไป โฮจิมินต์ชิตี้ แล้วนั่งเครื่องบินไป ฮานอย (3) ไปกลับฮาลองเบย์ (4) เที่ยวเมืองฮานอย พัก ฮานอย 2 คืน
จากฮานอย ไป ซาปา ด้วยรถนอนเดินทางกลางคืน (5) นอนบนรถ 1 คืน พักซาปา 1 คืน
จากซาปา ไป ฮานอย ด้วยรถไฟนอนกลางคืน (6) นอนบนรถไฟ 1 คืน ถึงฮานอย แล้วนั่งเครื่องบินไปดานัง (7) พักดานัง 1 คืน
จากดานัง ไป ปากเซ ด้วยรถนอนเดินทางกลางวัน (8) พักปากเซ 3 คืน
จากปากเซ ไป อุบลราชธานี (9) แล้วนั่งเครื่องบินกลับกรุงเทพ
ค่าใช้จ่ายการเดินทาง
การเดินทางทริปนี้ แลกเป็น USD จากประเทศไทยไปใช้สำหรับทั้งประเทศกัมพูชา ประเทศเวียดนาม และประเทศลาว
ประเทศกัมพูชา ส่วนใหญ่ใช้เงิน USD อยู่แล้วจึงไม่ค่อยเป็นปัญหา ตามร้านค้าทั่วไปจะคิด 1 USD เทียบเป็น 4000 เรียล ซึ่งจะขาดทุนบ้างแต่บอกได้คำเดียวว่าทำใจครับ ถ้าต้องจ่ายเงินเช่น 8.25 USD คุณจ่ายไป 9 USD คุณจะได้เงินทอนเป็นเรียลคืนมา 3000 เรียล
ประเทศเวียดนาม ส่วนใหญ่ใช้เงิน ดอง เป็นหลัก แต่ถ้าเป็นทัวร์แบบ One Day Trip ฮาลองเบย์ ค่ารถทัวร์นอน หรือรถไฟนอนไปซาปา สามารถจ่ายเงิน USD ได้ แต่ถ้าเป็นค่าใช้จ่ายทั่วไป แนะนำให้หาที่แลกเงินเป็นดองก่อนครับ ตามร้านค้าทั่วไปจะคิด 1 USD เทียบเป็น 20000 ดอง
ประเทศลาว ส่วนใหญ่ใช้เงิน กีบ เป็นหลัก แนะนำหาร้านแลกเงินแถวโรงแรมลานคำ หรือ แลกกับธนาคาร อัตราแลกเปลี่ยนไม่แตกต่างกันมากครับ ตามร้านค้าทั่วไปจะคิดเงิน USD ไม่ค่อยถูก ถ้าเทียบ 1000 กีบเท่ากับ 4 บาทไทย เงินกีบก็ประมาณ 7000-8000 กีบ ซึ่งแล้วแต่ร้านจริงๆ ไม่มีมาตรฐานคิดง่ายๆเหมือนประเทศกัมพูชา หรือประเทศเวียดนามครับ
ส่วนค่าใช้จ่ายทั้งหมดสำหรับทริปนี้ ผมสรุปเป็นตารางด้านล่างครับ
การเดินทางวันแรก
การเดินทางครั้งนี้ใช้บริการด้วยรถโดยสารระหว่างประเทศ ของบริษัท ขนส่ง จำกัด ราคา 750 บาท รอบเดินทางมี 08.00 กับ 09.00 น.แต่ครั้งนี้ผมเลือกเดินทางรอบ 08.00 น. เพราะจะได้มีเวลาเที่ยวมากขึ้น ซึ่งมีบริการขนมรองท้องระหว่างการเดินทางด้วยครับ
ใช้เวลาเดินทาง 4 ชั่วโมง ก็ถึงด่านปอยเปต เตรียมหนังสือเดินทางให้เจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมือง
ตรงนี้สำคัญ!!! อย่าเดินตามชาวต่างประเทศขึ้นไปชั้นสองนะครับ ของคนไทยอยู่ชั้นแรกครับ เพราะจะเสียเวลาไปต่อแถวกับนักท่องเที่ยวต่างประเทศเหมือนผมมาแล้ว
เดินข้ามมาฝั่งประเทศกัมพูชากันแล้ว จะเจอเจ้าหน้าที่นั่งแจกเอกสารการเข้าประเทศ พร้อมทั้งเสนอให้เราจ่ายเงินเพื่อความรวดเร็ว อย่าไปสนใจครับ
เดินตรงมาเรื่อยๆ จะเจอช่องตรวจเอกสารขาเข้าประเทศตามรูปภาพด้านล่าง ตรวจเอกสารเรียบร้อยเดินมาทางซ้ายเพื่อรอนักท่องเที่ยวท่านอื่นครับ
ระหว่างรอฝั่งเดียวกันที่รถจอด มีคาสิโน สามารถเดินไปเข้าห้องน้ำได้ครับ ส่วนด้านอยู่ตรงข้ามเป็นร้านกาแฟ True Coffee ผมเลือกไปนั่งชิวๆ รอนักท่องเที่ยวตรวจเอกสารที่ร้านกาแฟครับ กว่าจะเสร็จเรียบร้อยรอเป็นชั่วโมงเพราะมีนักท่องเที่ยวลืมขอวีซ่ามาก่อน เลยทำให้เสียเวลาหน่อยครับ
หลังจากเดินเรื่องกับครบทุกท่านแล้ว ได้เวลาเดินทางต่อไปพนมเปญ โดยใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมง
ถึงพนมเปญแล้ว บริเวณท่ารถจะมีรถสามล้อบริการไปยังที่พัก โดยจะบอกว่าจะไม่เสียค่ารถแต่ต้องซื้อทัวร์ไป นครวัด นครถม วันละ 20 USD
ซึ่งตอนแรกผมก็แปลกใจแล้วว่าทำไมฟรีด้วยหรอ ผมเลยตกลงไปตอนแรก แต่พอถึงที่พักทางคนขับขอเงินน้ำใจผมเลยให้ไป 100 บาท ชักทะแม่งๆ แปลกๆ ยังไงไม่รู้บอกไม่ถูกเลย
ซึ่งที่พักของผมวันนี้ ผมเลือกที่พัก Advisor Angkor Villa ราคาไม่แพง แถมห้องพักถือว่าโอเคด้วย
ส่วนเรื่องรถสามล้อยังไม่จบครับ เนื่องจาก ผมเกิดความสงสัยเลยไปคุยเจ้าหน้าที่โรงแรม เลยถึงบางอ้อว่า ทางโรงแรมก็มีรถบริการแถมราคาแค่ 12 USD ผมเลยโทรไปยกเลิกแล้วจองกับโรงแรมดีกว่า เพราะกลัวจะเสียมากกว่า 20 USD ยังไงต้องขอบคุณเจ้าหน้าที่โรงแรมวันนั้นด้วย รูปถ่ายมาไม่ค่อยชัดแต่ขอบคุณจริงๆ ประหยัดได้เยอะเลยครับ
หลังจากจัดการเรื่องห้องพักอาบน้ำอาบท่า ได้เวลาตะลุยกลางคืนของเสียมราฐกันแล้ว
ซึ่งเป้าหมายหลักของเรา คือ Night Market ค่ารถสามล้อ 2 USD มาลงด้านหน้าของ Night Market กันแล้ว ได้เวลาเดินเล่นแล้ว ไปเดินเล่นกันครับ…
Night Market เต็มไปด้วยร้านอาหาร ร้านขายของ และผับ สำหรับนักท่องเที่ยวมากมาย ชอบร้านไหนก็แวะร้านนั้นเลยครับ
เดิน Night Market กันเรียบร้อย หาข้าวกินตอนกลางคืนเสร็จแล้วได้เวลากลับที่พักเพื่อพักผ่อนเอาแรงเพื่อลุยนครวัดนครธมในวันรุ่งขึ้นครับ
การเดินทางวันที่สอง
ตื่นเช้ามาวันที่สอง สำรวจรอบๆ ที่พัก Advisor Angkor Villa กินอาหารเช้าก่อนออกไปเดินเล่นแถวที่พักครับ
บรรยากาศยามเช้าที่เสียมราฐสงบเงียบน่าอยู่ทีเดียวครับ
ปากซอยที่พักของเราวันนี้ หน้าตาแบบนี้เลย
ซึ่งบริเวณที่พัก มีร้านขายทัวร์ ขายตั๋วรถมากมาย ราคาก็ไม่ต่างกันมาก
เดินเล่นยืดเส้นยืดสายกันแล้ว ได้เวลาเที่ยวตามโปรแกรม One Day Trip มีแผนที่ประกอบเพื่อเข้าใจมากขึ้นครับ
ตามแผนที่วงกลมสีแดง เที่ยว ปราสาทนครวัด, ปราสาทคราวาน, ปราสาทบันทายศรี, ปราสาทตาพรหม, ปราสาทนครธม
ขอบคุณรูปจาก http://www.trekkingthai.com/webboard/backpacker/1554-74.jpg
ซึ่งต้องซื้อตั๋ว One Day Pass 20 USD สำหรับการเข้าชมในวันนี้ก่อนครับ
เริ่มต้นด้วย ปราสาทนครวัด มีขนาดใหญ่มากถึง 200,000 ตารางเมตร ตัวปราสาทสูง 60 เมตร ยาว 100 เมตร และกว้าง 80 เมตร มีแผนผังที่ถือว่าเป็นวิวัฒนาการขั้นสุดยอดของปราสาทขอม มีปราสาท 5 หลังตั้งอยู่บนฐานสูงตามคติของศูนย์กลางจักรวาล มีกำแพงด้านนอกยาวด้านละ 1.5 กิโลเมตร มีคูน้ำล้อมรอบตามแบบ มหาสมุทรบนสวรรค์ที่ล้อมรอบเขาพระสุเมรุ
ใช้หินรวม 600,000 ลูกบาศก์เมตร ใช้แรงงานช้างกว่า 40,000 เชือก และแรงงากเกนคนนับแสนขนหินและชักลากหินมาจากเขาพนมกุเลน ชึ่งอยู่ห่างออกไปกว่า 50 กิโลเมตร มาสร้าง
ปราสาทนครวัด มีเสา 1,800 ต้น หนักต้นละกว่า 10 ตัน ใช้เวลาสร้างร่วม 100 ปี ใช้ช่างแกะสลัก 5,000 คน และใช้เวลาถึง 40 ปี
หอสูง 60 กว่าเมตรศูนย์กลางของกลุ่มปราสาท อันเปรียบเสมือนศูนย์กลางของจักรวาลนั้น มีทางเดินขึ้นที่ชันมาก ราว 50 องศา แต่ก็กลับเป็นจุดสำคัญที่นักท่องเที่ยวทุกเพศทุกวัยจะต้องปีนขึ้นไปและไต่ลงมา ที่จุดบนสุดของหอนี้จะมองเห็นวิวที่สวยสุดของปราสาท
ด้านหน้าปราสาทมีสระบัว พร้อมมุมยอดฮิตสำหรับนักท่องเที่ยวที่มาปราสาทนครวัดต้องเก็บภาพประทับใจไป
เดินถ่ายรูปรอบๆ ปราสาทนครวัดก็สวยไม่แพ้ใคร
จุดหมายปลายทางที่สอง คือ ปราสาทคราวาน Kravan Temple หรือ Artabotrys odoratissimus Temple หมายถึง ปราสาทสร้างอุทิศแด่พระวิษณุ สร้างขึ้นสมัยศตวรรษที่ 10 ประกอบด้วย ปราสาทอิฐสีแดงห้าหลัง และล้อมรอบ ด้วยคูน้ำ ขนาดเล็ก ภายนอก
การตกแต่งภายใน เป็นรูปของนางอัปสร ในอิธิยาบถต่างๆ
จุดหมายปลายทางที่สามคือ ปราสาทบันทายศรี ปราสาทแห่งนี้สร้างอุทิศถวายพระอิศวรภายใต้พระนามว่า “ตรีภูวนมเหศวร” หรือ “ผู้เป็นใหญ่แห่งโลกทั้งสาม”
ปราสาทมีขนาดเล็ก สร้างด้วยหินทรายสีชมพูซึ่งหายาก สร้างขึ้นเมื่อเดือนเมษายน – พฤษภาคม พ.ศ. 1510 โดยพราหมณ์ยัชญวราหะ ในตอนปลายของสมัยพระเจ้าราเชนทรวรมันที่ 2 (หรือพระเจ้า ชัยวรมันที่ 4 พ.ศ. 1487 – 1511) และเสร็จในสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 5 (พ.ศ. 1511-1554)
หลังจากเดินเที่ยวกันช่วงเช้าแล้ว ผมจึงแวะรับประทานอาหารกลางวันร้านยอดฮิตบริเวณปราสาทตาพรหมครับ
หลังจากกินอาหารกลางวันเสร็จแล้ว ได้เวลาเดินทางเที่ยวกันต่อแล้วครับ
จุดหมายปลายทางต่อไปคือ ปราสาทตาพรหม สร้างขึ้นในปี พ.ศ. 1729 เป็นปราสาทหินในยุคท้ายๆ ของอาณาจักรเขมร ปราสาทเหล่านี้ถือว่าเป็นสถานที่ของพระพุทธศาสนาที่สมัยนั้นมีความเจริญรุ่งเรืองอย่างมาก เพราะสมัยนั้นกษัตริย์ที่สนับสนุนให้มีการสร้างปราสาทนี้เป็นวัดในศาสนาพุทธ
การดูแลปราสาทต่างๆนั้นรัฐบาลได้ทำการตัดต้นไม้ออกจากปราสาทอื่นๆ เพราะกลัวว่าประสาทจะล้มลงหากต้นไม้ใหญ่โตมากๆ แต่สำหรับปราสาทตาพรมนั้น รัฐบาลมีแนวคิดที่จะคงต้นไม้ไว้เหมือนโบราณที่มีต้นไม้ขึ้นบนปราสาทแทบทุกปราสาทจึงกลายเป็น ลักษณะเด่นของปราสาทตาพรหมคือมีต้นไม้ใหญ่ขึ้นคลุมตัวปราสาทเป็นจำนวนมาก ไปในตอนหลัง
ปราสาทตาพรมนั้น ในรัชกาลที่กษัตย์นิยมฮินดูได้อำนาจคือนจากกษัตริย์นับถือพุทธ จึงให้มีการทำลาย และมีร่องรอยการทำลายมากที่สุด เพราะความต่างของการนับถือศาสนา ปราสาทตาพรมจึงไม่หลงเหลือศิลปะให้พวกเราได้เห็นมากนัก และเนื่องจากใช้ถ่ายทำหนังหลายเรื่อง เช่น ทูมไรเดอร์ เจมส์บอนด์ ฯลฯ นักท่องเที่ยวจึงเข้าคิวเพื่อถ่ายรูปกับรากไม้มากกว่าซาบซึ้งในศิลปกรรม
หลังจากนั้นเดินทางเข้า ปราสาทนครธม
นครธม หมายถึง เมืองพระนครหลวง (คำว่า นคร แปลว่า เมือง ส่วนคำว่า ธม แปลว่า ใหญ่) ที่ตั้งอยู่ภายในพระนคร สถาปนาขึ้นในปลายคริสต์ศวรรษที่ 12 โดยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 (ครองราชย์ระหว่าง พ.ศ. 1724-1758) เป็นเมืองที่แข็งแกร่งที่สุดและอยู่ในยุครุ่งเรืองที่สุดของอาณาจักรขอม
โดยเมืองนครธมมีลักษณะเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส ความกว้าง 3 กิโลเมตร ล้อมไว้ด้วยกำแพงสูง 7 เมตร ใจกลางมีปราสาทบายน อันเป็นปราสาทหลักของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ภายในเมืองมีสิ่งก่อสร้างมากมาย ตั้งแต่สมัยพระเจ้าชัยวรมันฯ มาจนถึงสมัยรัชทายาทต่อมา นครธม จึงเป็นสถานที่ที่นักท่องเที่ยวต่างชาติให้ความสนใจเป็นอย่างยิ่งในปัจจุบัน
ขอบคุณข้อมูลจาก : http://travel.kapook.com/view57371.html
ซึ่งเป็นจุดหมายสุดท้ายของ One Day Tour วันนี้ คือบริเวณปราสาทบายน ถือว่าเป็นจุดสำคัญ เพราะเป็นจุดศูนย์กลางของนครธม
โดยเริ่มต้นจากประตูด้านบน Terrace of the Leeper King เดินเลาะมาทาง Terrace of the Elephants
เดินมาทางประตูด้านใต้ แวะเข้าไปเที่ยวและถ่ายรูป Phimeanakas
เดินเลาะข้ามประตูเล็กทางด้านซ้าย
จะเจอปราสาท Baphoun อลังการงานสร้างมากครับ
เดินขึ้นมาชมวิวบนปราสาท Baphoun วิวสวยมากทีเดียวครับ
หลังจากเดินเที่ยวปราสาท Baphoun เดินเลาะมาทางประตูทางใต้
เดินมาถึงมาจุดสุดท้ายปราสาทบายน ถือว่าเป็นปราสาทหลักของปราสาทนครธมครับ
เที่ยวเสียมราฐกันเสร็จแล้ว เหนื่อยมากสำหรับการเดินเที่ยววันนี้ครับ ได้เวลาพักผ่อนเลยเดินทางกลับที่พัก Advisor Angkor Villa ตื่นมาสองทุ่มเดินหาข้าวกินแถวที่พัก ราคาแสนถูกแถมอร่อยด้วยเลยนะ ขอบอก
กินข้าวเสร็จเข้าที่พักนอนพักผ่อนเตรียมตัวเดินทางไปพนมเปญในวันพรุ่งนี้ครับ
การเดินทางวันที่สาม
เช้าวันที่สาม กินอาหารเช้าแต่เช้า เนื่องจากก่อนการเดินทางทริปนี้ผมได้ทำการจองรถทัวร์สำหรับการเดินทางจากเสียมราฐไปพนมเปญ และจากพนมเปญไปโฮจิมินต์ชิตี้ด้วยบริษัท Giantbis สามารถจองล่วงหน้าที่ http://www.giantibis.com/ และเหตุผลที่เลือกจองบริษัท Giantbis เพราะภายในรถมี wifi ให้เล่นฟรีตลอดการเดินทาง แถมยังมีรถบริการรับถึงที่พักแต่จะมารับก่อนรอบรถหนึ่งชั่วโมงครับ
รอบการเดินรถจากเสียมราฐไปพนมเปญ มีรอบ 08.45, 12.30, 19.45 และ23.00 น. ใช้เวลาเดินทางประมาณ 6 ชั่วโมง
รอบการเดินรถจากพนมเปญไปโฮจิมินต์ชิตี้ มีรอบ 08.00 รอบเดียวเท่านั้น ใช้เวลาเดินทางประมาณ 7 ชั่วโมง
ค่าตั๋วตามตารางด้านล่างครับ
Destinations | Price | Service Charge |
---|---|---|
Phnom Penh <> Siem Reap | $15.00 | $1.00 |
Phnom Penh <> Kampot | $8.00 | $1.00 |
Phnom Penh <> Sihanouk Ville | $10.00 | $1.00 |
Phnom Penh <> Ho Chi Minh | $18.00 | $1.00 |
พามาดูบรรยากาศภายในรถ และหน้าตารถก่อนเดินทางครับ
หลังจากเดินทางถึงประมาณบ่ายโมงครึ่งแวะทานข้าว ทางรถก็จอดให้ผู้โดยสารแวะกินข้าวเที่ยงครับ
หลังจากอิ่มหนำสำราญกันแล้ว เดินทางกันต่ออีกสองชั่วโมงก็ถึงพนมเปญ จัดการหารถสามล้อเข้าที่พักครับ
ที่พักสำหรับการพักผ่อนที่พนมเปญ คือ ที่พัก Na Na Hotel & Café Restaurant
เก็บกระเป๋าเสร็จ ได้เวลาเดินเที่ยวกันรอบเมืองพนมเปญ บริเวณริมแม่น้ำโตนเลสาบ เดินถ่ายรูปบรรยากาศดีๆ ชิวๆเลยแล้วครับ
เดินมาเรื่อยเจอสวนสาธารณะ มีผู้คนมาออกกำลังกายจำนวนมาก ทั้งแอโรบิค แบดมินตัน
หลังจากเดินได้ซักพัก กองทัพต้องเดินด้วยท้อง ท้องเริ่มร้องอีกครั้งแล้ว เลยหาของกินง่ายๆ แบบกัมพูชาสไตล์ เป็นลูกชิ้นทอด ซี่โครงหมูย่าง ตบด้วยเป๊ปซี่ ชื่นใจสุดๆไปเลยงานนี้ เจ้าของร้านนี้ ใจดีมาก แถมอาหารไม่แพงด้วย แต่ทีเด็ดสุด คืออาสาไปส่งตอนผมกางแผนที่ถามทางกลับโรงแรมด้วย สุดยอดไปเลยครับ
กลับถึงโรงแรมเสร็จแล้ว นอนเล่นซักพัก แล้วดึกๆ ลงมาเดินเล่นแถวที่พัก ปรากฏว่าร้านปิดหมดแล้ว แต่ไปเจอร้านขายบะหมี่ซั่วน่ากินมากเลยอดใจไม่ไหว ซัดอีกจานก่อนนอนเลยจ้าาา
การเดินทางวันที่สี่
เช้าวันนี้มีอาหารให้รับประทานฟรีเวลา 07.00- 10.00 ดังนั้นเพื่อเป็นการประหยัดค่าอาหารเช้าเลยรีบตื่นเช้าหาอาหารทานกันก่อนเดินทางเที่ยวกัน เลยรอริวิวอาหารเช้าของ ที่พัก Na Na Hotel & Café Restaurant ก่อนครับ
ตามโปรแกรมที่วางไว้ตอนแรก ตั้งใจจะเหมารถเที่ยวพนมเปญ แต่หลังจากเดินเล่นในวันที่สาม ซึ่งพบว่าสามารถเดินเล่นชิวๆ ในกรุงพนมเปญได้ทั้งวัน เลยตัดสินใจที่จะเดินเที่ยวเองเพื่อประหยัดค่าเหมารถครับ (แอบงกอีก ฮรี่ๆ)
สถานที่แรก คือ พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ กรุงพนมเปญ ตั้งอยู่ทางเหนือของพระบรมมหาราชวัง เป็นพิพิธภัณฑ์ทางประวัติศาสตร์และโบราณคดีชั้นนำของประเทศ สร้างขึ้นในปี ค.ศ 1918 และได้เปิดให้เข้าเยี่ยมชม 5 USD
โดยสมเด็จพระ ศรีสุวัตทิ์ในปี ค.ศ 1920 และเพิ่งได้รับการบูรณะหลังจากยุคสมัยเขมรแดง.. พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติเป็นตัวแทนที่ดีที่สุดของสถาปัตยกรรมของกรุงพนมเปญ และสร้างตามแบบลักษณะศิลปะปราสาทโบราณของกัมพูชา ซึ่งทำหน้าเป็นที่รับใช้ทางด้านศาสนาและมีการรวบรวมประติมากรรมของศาสนาฮินดูและพุทธ
ภายในมีการจัดแสดงงานศิลปะกว่า 14,000 รวมมีรูปปั้นเซรามิกส์ สำริดตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์ จนถึงยุคสมัยกลางของราชอาณาจักรกัมพูชา รวมถึงประติมากรรมชุดเต้นรำในศตวรรษที่ 19 และเรือพระราชพิธี .. โบราณวัตถุที่งดงามและน่าประทับใจอย่างยิ่งคือเทวรูปพระนารายณ์บรรทมสินธุ์สำริดซี่งขุดพบที่ปราสาทแม่บุญตะวันตกในเมืองพระนคร
หลังจากเที่ยว พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ กรุงพนมเปญ เสร็จแล้ว เดินเที่ยวพระราชหลวง แต่บังเอิญพระราชวังหลวงปิด แล้วเปิดอีกทีตอนบ่ายสอง จึงตัดสินใจเดินเที่ยวริมโขง
เดินกินข้าวเที่ยงชิวๆ ริมแม่น้ำโตเลสาบ ด้วยเมนูไทย คือ พิซซ่าคอมปานี จ้าา
ได้เวลาบ่ายสองถึงเวลาเที่ยว พระราชวังหลวง กรุงพนมเปญ กัมพูชา เป็นกลุ่มสิ่งก่อสร้างที่เป็นที่ประทับของราชวงศ์แห่งราชอาณาจักรกัมพูชา ชื่อเต็มในภาษากัมพูชา คือ “เปรี๊ยะบรมเรียเชียแวงจักตุมุก” (พระบรมราชวังจตุมุข) กษัตริย์แห่งกัมพูชาทรงประทับที่นี่เมื่อก่อสร้างแล้วเสร็จในปี พ.ศ.2409 ในช่วงที่กลุ่มเขมรแดงขึ้นครองอำนาจ พระราชวังแห่งนี้ก็ถูกทิ้งร้างไประยะหนึ่ง
พระราชวังแห่งนี้ถูกสร้างขึ้น เมื่อสมเด็จพระนโรดม กษัตริย์กัมพูชาทรงย้ายเมืองหลวงจากอุดงมีชัย (Oudong) มายังพนมเปญในช่วงกลางคริสตศตวรรษที่ 19 พระราชวังแห่งนี้ตั้งอยู่บนฝั่งตะวันตกของลำน้ำสาขา 4 สายของแม่น้ำโขง เรียก “จตุมุข” และหันหน้าไปทางทิศตะวันออก
สิ่งก่อสร้างต่างๆ และพื้นที่พระราชวัง
ท้องพระโรง
พระที่นั่งจันทฉายา
วัดพระแก้ว (Silver Pagoda หรือ Wat Preah Keo)
เที่ยว พระราชวังหลวง เสร็จแล้วเดินถ่ายรูปชิวๆ กลับที่พัก Na Na Hotel & Café Restaurant
นอนพัก ชาร์ตพลัง ได้ซักใหญ่เดินเที่ยวห้างสรรพสินค้าที่ใหญ่ที่สุดของประเทศเขมร “โสรยาชอปปิ้งเซนเตอร์” เดินออกจากที่พักมาทางขวา ข้ามแยกไฟแดง สองแยกไฟแดง แล้วหันขวามือ ก็จะเจอห้างแล้วครับ
กินข้าวเป็นชุดข้าวไก่ย่าง มีสลัด เป็ปซี่ ค่าเสียหาย 3.30 USD ราคาใช้ได้เลย ไม่แพงมากครับ
กินข้าวเสร็จแล้วกลับที่พักเก็บของเตรียมเดินทางไปเวียดนามกันแล้วครับ
การเดินทางวันที่ห้า
โปรแกรมวันนี้ต้องเดินทางเข้าประเทศเวียดนามทางโฮจิมินต์ชิตี้ แล้วนั่งเครื่องบินต่อไปฮานอยครับ ซึ่งใช้บริการรถโดยสารบริษัท Giantbis สามารถจองล่วงหน้าที่ http://www.giantibis.com/และเหตุผลที่เลือกจองบริษัท Giantbisเพราะภายในรถมี wifi ให้เล่นฟรีตลอดการเดินทาง แถมยังมีรถบริการรับถึงที่พักแต่จะมารับก่อนรอบรถหนึ่งชั่วโมงครับ รอบการเดินรถจากพนมเปญไปโฮจิมินต์ชิตี้ มีรอบ 08.00 รอบเดียวเท่านั้น ใช้เวลาเดินทางประมาณ 7 ชั่วโมง ค่าตั๋วตามตารางด้านล่างครับ
Destinations | Price | Service Charge |
---|---|---|
Phnom Penh <> Siem Reap | $15.00 | $1.00 |
Phnom Penh <> Kampot | $8.00 | $1.00 |
Phnom Penh <> Sihanouk Ville | $10.00 | $1.00 |
Phnom Penh <> Ho Chi Minh | $18.00 | $1.00 |
ออกเดินทางมาโฮจิมินต์ชิตี้ครั้งนี้ รถโดยสารเส้นทางนี้ล่องเรือข้ามโขงด้วยแหละ เป็นประสบการณ์ที่แปลกมากทีเดียว
พอถึงด่านชายแดนระหว่างประเทศลาว กับ เวียดนาม ทำเรื่องผ่านแดนออกจากประเทศลาว เข้าประเทศเวียดนาม แต่ด้วยความโชคดีที่นั่งรถโดยสาร Giant Bus เลยได้ลัดคิวชาวบ้านเค้านิดหน่อยครับ
พอข้ามด่านชายแดนเข้าประเทศเวียดนามแล้ว ทางรถโดยสารได้แวะทานข้าวเที่ยงบริเวณดิวตี้ฟรีครับ
เดินทางถึงโฮจิมินต์ชิตี้ประมาณบ่ายสาม เดินชมเมืองกันก่อนครับ
เดินไปขึ้นรถเมล์ไปสนามบินที่ตลาดเบนถัน
ตลาดเบนถัน ถือว่าเป็นตลาดสินค้าสำหรับนักท่องเที่ยวที่ใหญ่ที่สุดตลาดแห่งนี้ขายสินค้าเกือบทุกประเภทรวมทั้งของฝากสำหรับนักท่องเที่ยวด้วยครับ
นักท่องเที่ยวที่เดินทางมาเที่ยวที่เวียดนามใต้แห่งนี้จะต้องแวะมาซื้อของที่ระลึกเพื่อนำกลับไปฝากเพื่อน ๆ ที่บ้าน สินค้าที่ตลาดแห่งนี้มีมากมาย เราไปดูบรรยากาศของตลาดแห่งนี้กันเลยดีกว่า
เดินเล่น ตลาดเบนถัน พอได้เวลาสมควรแล้ว ได้เวลาเดินทางไปสนามบินเพื่อนั่งเครื่องบินไปจุดหมายปลายทางวันนี้ คือ เมืองหลวงของเวียดนาม “ฮานอย” ครับ
สามารถนั่งรถเมล์ไป ตลาดเบนถัน ด้วยรถเมล์สาย 152 ค่าตั๋วโดยสาร 5,000 ดอง ใช้เวลาเดินทางประมาณหนึ่งชั่วโมงครับ
ถึงสนามบินโฮจิมินต์ชิตี้ประมาณสี่โมงเย็น แต่เนื่องจากเที่ยวบินที่จองไว้ออกจากโฮจิมินต์ชิตี้ 20.00 น. ถึง ฮานอย 22.00 น. เลยจัดการหาข้าวมื้อเย็นรองท้องกันหน่อย ได้ร้านอาหารเลือกกินเฝอไก่แบบง่ายๆ ครับ
หลังจากกินอาหารเสร็จนั่งชิวถ่ายรูปไปเรื่อยๆ เป็นการทำให้เวลาการรอขึ้นเครื่องเร็วขึ้นครับ
หลังจากการรอคอยมาแสนนาน ก็ได้เวลาขึ้นเครื่องไปฮานอยกันแล้ว การเดินทางครั้งนี้ใช้บริการ สายการบินเวียดนามแอร์ไลน์ จ้าา
ถึงสนามบินฮานอยตรงเวลา แต่ปัญหาแรกที่ถึงสนามบินฮานอยก็คือ จะเข้าเมืองยังไงหละ รถเมล์ก็ไม่มี แท๊กซี่ก็ไม่รู้จะแพงไหม เอาไงดีหละ คิดอยู่นาน เดินหารถเมล์อยู่นาน สุดท้ายตัดสินใจแท๊กซี่ก็แท๊กซี่เพราะมันก็ดึกมากแล้ว อยากนอนพักมากถึงมากที่สุด
อาจเป็นเพราะความรู้แล้วแต่จำเป็นต้องขึ้นแท๊กซี่ เลยทำให้ความซวยแรกมาเยือน เจอแท๊กซี่แบบที่ขอบอกว่ามิเตอร์ติดจรวด ซึ่งระยะทางจากสนามบินเข้ามาในตัวเมืองฮานอยประมาณ 40 กิโลเมตร โดนค่าแท๊กซี่ไป 504,000 ดอง คิดเป็นเงินไทย 700 กว่าบาทครับ
ความซวยที่สองก็มาเยือนแบบติดกัน คือโรงแรมที่จองไว้ปรากฏว่าเต็ม ซึ่งตอนแรกบอกตรงๆว่าหงุดหงิดมาก กลัวไม่มีที่พัก อุตส่าห์จองผ่าน Agoda.com แล้วจ่ายเงินแล้วเป็นเดือน มาได้ยินว่าเต็มปั๊บ ของขึ้นทันที โมโหควันออกหู ว่าโรงแรมเป็นภาษาอังกฤษ มันคงแบบงง เพราะจำไม่ได้ว่าพูดอะไรไปบ้าง 555+ แล้วจัดการดำเนินการไปโวยทาง Agoda.com ซึ่งได้รับการบริการเป็นอย่างดี
ความซวยครั้งนี้นำไปสู่ความโชคดีมากทีเดียว เพราะโรงแรมที่เต็มจัดการให้เราไปโรงแรมสาขา ที่พัก Price Hotel – To Tich ซึ่งห้องพักสะอาด ราคา 222 บาท ภายในมีอ่างอาบน้ำ คอมพิวเตอร์ในห้อง แถมใกล้ทะเลสาบคืนสาบ แถมยังมีอาหารเช้าให้ด้วย คุ้มเกินคุ้มจริงๆครับ
อาบน้ำสงบสติอารมณ์จากการโมโหมาแล้ว ดำเนินการคิดแผนเที่ยวกันทันที โดยการจองทัวร์ไปฮาลองเบย์ และวางแผนจองรถไปกลับซาปา เลยคุยกับทางโรงแรมซึ่งจากข้อมูลที่หามาว่าทัวร์ของโรงแรมในเครื่อ Price Hotel ถูกและราคาไม่แพงด้วยถ้าเทียบกับการจองที่อื่นครับ
จึงตัดสินใจซื้อทัวร์ Halong Bay One Day Trip ไปฺฮาลองเบย์ในราคา 840,000 ดอง หรือ 40 USD
และจองตั๋วรถทัวร์แบบนอนไปซาปา ในราคา 26 USD และจองตั๋วรถไฟแบบนอนจากซาปากลับมาฮานอยในราคา 42 USD
หมดไปเยอะทีเดียววันนี้ เสียเงินเพื่อซื้อความสบายใจกันแล้ว หลับฝันดีเตรียมแรงไปทัวร์ One Day Trip ไปฺฮาลองเบย์ กันต่อครับ
การเดินทางวันที่หก
วันนี้ซื้อทัวร์ Halong Bay One Day Trip ไปฺฮาลองเบย์ในราคา 840,000 ดอง หรือ 42 USD จากคืนเมื่อวานไว้เรียบร้อยแล้ว นัดแนะเวลามารับที่โรงแรมกันประมาณ 07.30 น. กินอาหารเช้าเติมพลังที่โรงแรมก่อนเดินทางจ้า
บรรยากาศยามเช้าที่ฮานอยสดชื่นมากๆครับ
แวะรับลูกทัวร์ที่จะเดินทางพร้อมกับผมวันนี้ประมาณสิบห้าคนได้ครับ
ออกเดินทางจากฮานอย เกือบ 09.00 น. ใช้เวลาเดินทางประมาณ 2 ชั่วโมง 30 นาที ก็ถึงเมืองฮาลอง
สถานที่แรกของทัวร์วันนี้ คือ ร้านขายของฝากเป็นภาพที่เป็นผ้าถักด้วยมือ เครื่องประดับต่างๆ เน้นไปทางหินอ่อนหรือหยก
ซึ่งทำให้ผมเสียเงินซื้อภาพที่เป็นผ้าถักด้วยมือแบบไม่มีกรอบ 2 รูป ราคารวม 20 usd หลังจากเสียเงินแล้วสบายตัวเลยถ่ายรูปมาฝากแทนดีกว่าครับ ขืนเดินดูมากอาจจะทำให้เสียเงินอีกเป็นได้ ^_^
หลังจากแวะของฝากแล้ว เดินทางกันต่อไปยังท่าเรือเพื่อลงเรือเที่ยวฮาลองเบย์กันแล้วครับ
โปรแกรมแรกหลังจากก้าวขึ้นเรือ คือ กินอาหารมื่้อเที่ยงบนเรือ ขอบอกว่าบรรยากาศที่ฮาลองเบย์สวยมากก ฟินมาก…
กินข้าวเสร็จเรียบร้อยแล้ว ได้เวลาถ่ายภาพวิวสวยๆ ที่ฮาลองเบย์กันแล้วจ้า
นั่งเรือได้ซักพักจะเจอจุดแวะ จุดที่สอง คือ กิจกรรมกลางฮาลองเบย์ ขอบอกว่าชอบมากๆๆ
ซึ่งกิจกรรมมีให้เลือกระหว่างการลงพายเรือแคนูด้วยตัวเอง หรือการนั่งเรือแล้วมีคนพายให้ ซึ่งตอนแรกที่ซื้อไม่รู้ว่าเลือกได้ แต่ถ้าไม่เลือกแพจเกจทั่วไปจะเป็นพายเรือแคนู แต่ผมเลือกแบบมีคนพาย เลยเสียเพิ่มอีก 7 USD ตามระเบียบจ้าา
ที่บอกประทับใจจุดนี้ เนืองจากได้รับลมเย็นๆแล้ว แถมยังเจอวิวสวยๆอีก สุดยอดมาก คุ้มค่ามากที่ตัดสินใจมาฮาลองเบย์ รับรองไม่ผิดหวังแน่นอนครับ
หลังจากทำกิจกรรมเสร็จแล้ว เรือก็แล่นไปจุดหมายสุดท้าย แต่ระหว่างทางนี่สิ วิวสวยเกินห้ามใจที่จะถ่ายรูปไว้ได้ เดินขึ้นดาดฟ้าเรือท้าความหนาวถ่ายรูปมาอวดครับ
หลังจากถ่ายรูปจนหนาวแบบทนไม่ไหว เลยลงมาดาดฟ้า ขอหัวหน้าทัวร์ถ่ายรูปเป็นที่ระลึกครับ
นั่งเรือมาซักพักก็ถึงจุดหมายปลายทางสุดท้ายของวันนี้ เป็นถ้ำที่ถูกค้นพบโดยบังเอิญจากชาวประมง เนื่องจากหาที่หลบคลื่นลมพายุ เลยมาเจอถ้ำสวยๆ แห่งนี้ครับ
ภายในถ้ำมีการประดับไฟ บริเวณหินงอกหินย้อยสวยแตกต่างจากบ้านเราไปอีกแบบครับ
หลังจากชมความงามพร้อมถ่ายรูปในถ้ำแห่งนี้จนหนำใจ เดินทะลุออกมาอีกทาง ซึ่งไม่ไกลจากทางเข้าเท่าไหร่ ซึ่งเป็นความมหัศจรรย์ของถ้ำนี้จริงๆครับ
หลังจากเที่ยวครบทางโปรแกรมแล้ว เรือก็พาลูกทัวร์พร้อมทั้งผมกลับเข้าฝั่ง ซึ่งระหว่างทางก็สามารถถ่ายรูปได้อีก แต่หมดแรงแล้วจริงๆ ครับ สนุกมาก ประทับใจมาก แถมเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องมาก ที่มาฮาลองเบย์ในการเที่ยวในครั้งนี้ครับ
ถึงฝั่งประมาณห้าโมงครึ่งแล้ว เดินทางเข้าเมืองฮานอยกลับที่พักประมาณสามทุ่มครึ่งครับ หมดแรงจริงๆเลยไม่ได้ถ่ายรูปตอนกลางคืนมาเลย ขอโทษจริงๆครับ
การเดินทางวันที่เจ็ด
โปรแกรมวันนี้ ไม่สามารถเที่ยวไกลจากฮานอยได้ เนื่องจากจองตั๋วรถทัวร์ไปซาปาต่อในคืนนี้ ทำให้โปรแกรมวันนี้ผมเลือกเที่ยวใกล้ๆที่พักกันครับ
เดินชม ทะเลสาบฮหว่านเกี๊ยม ตั้งอยู่ในพื้นที่ ๆ เป็นเขตเมืองเก่า
มีตำนานเล่าขานกันถึงสถานที่แห่งนี้ เป็นตำนานการสร้างชาติเวียดนามว่า ในศตวรรษที่ 15 จักรพรรดิเล เหล่ย แห่งราชวงศ์เล ได้ใช้ดาบศักดิ์สิทธิ์ในการขับไล่ชาวจีนแห่งราชวงศ์หมิงที่รุกราน ให้ออกไปจากเวียดนาม ในขณะที่พระองค์ประทับบนเรือ ณ ทะเลสาบแห่งนี้ ก็มีตะพาบยักษ์ตัวหนึ่งโผล่ขึ้นมาจากผิวน้ำและบอกให้พระองค์ส่งดาบนั้นกลับคืนแด่จ้าวมังกร ดาบนั้นก็ได้พุ่งออกจากฝักดาบเข้าไปในปากของตะพาบก่อนที่จะหายกลับลงไปสู่ใต้ผิวน้ำ อันเป็นที่มาของชื่อทะเลสาบคืนดาบ
ขอบคุณข้อมูลจาก http://th.wikipedia.org/wiki/ทะเลสาบฮหว่านเกี๊ยม
เดินถ่ายรูปรอบทะเลสาบฮหว่านเกี๊ยมเพลินทีเดียวครับ
โชคดีเป็นช่วงมีเทศกาลพอดี ทำให้มีการจัดดอกไม้รอบทะเลสาบ สวยงามมากทีเดียวครับ
วัดหง็อกเซิน (Ngọc Sơn) หรือ “วัดเนินหยก” ตั้งอยู่ตอนเหนือของทะเลสาบ
ค่าเข้าชม 20,000 ดอง
โดยการเดินทางไป วัดหง็อกเซิน จะมีสะพานไม้ ชื่อ “สะพานเทฮุก” (Thê Húc) หรือ “สะพานแสงอาทิตย์” มีสีแดงสดใสถือเป็นเอกลักษณ์อย่างหนึ่งของกรุงฮานอย ข้ามจากฝั่งแผ่นดินใหญ่ไปยังวัดซึ่งตั้งอยู่บนเกาะเล็ก ๆ ทางตอนเหนือของทะเลสาบ
ขอบคุณข้อมูลจาก http://th.wikipedia.org/wiki/ทะเลสาบฮหว่านเกี๊ยม
ภายในมีตัวอย่างสตั๊ฟฟ์ของตะพาบชนิดนี้ให้ชมกันด้วย
เดินเที่ยว วัดหง็อกเซิน เสร็จแล้ว เดินเที่ยวกันต่อครับ
หาของกินรอบริมทะเลสาบ ได้ไส้กรอกหนึ่งชิ้น กับน้ำหนึ่งขวด สบายอารมณ์เลย
นั่งกินข้าวเที่ยง อาหารสไตล์เวียดนาม พร้อมบรรยากาศริมทะเลสาบ สวยมากทีเดียว
หลังจากกินข้าวเสร็จแล้ว เดินเที่ยวหาของฝากบริเวณทะเลสาบ ราคาไม่แพงมากครับ
หลังจากชอปปิ้งเสร็จแล้ว เนื่องจากจองตั๋วรถทัวร์แบบนอนไปซาปา ในราคา 26 USD เก็บข้าวของเตรียมนั่งรถทัวร์ไปซาปาครับ
นั่งรอนอนรอก็แล้ว ได้เวลาหิวอีกแล้ว เลยออกไปหาอะไรทองร้องก่อนเดินทางครับ
เดินทางออกจากฮานอยประมาณ สองทุ่ม ใช้เวลาเดินทาง 8 ชั่วโมง ถึงซาปา ตีห้าครึ่งได้ครับ
การเดินทางวันที่แปด
วันนี้เดินทางจากฮานอยถึงซาปา ตรงตามตารางเวลา แม้การเดินทางจะลำบากซักนิดเนื่องจากรถที่นั่งไปเป็นรถแบบนอน แต่รับผู้โดยสารตลอดทางนอนกันเรียงรายเต็มพื้นรถ
กลับมาที่ซาปากันต่อดีกว่า เช้านี้เจอหมอกลงหนา อย่างกับข้ามมาอีกโลกนึงเลย แตกต่างกับตอนอยู่ฮานอยมากๆ
แต่ความสวยของอากาศมาพร้อมกับความลำบากของร่างกายที่ต้องเดินทางหาที่พักท่ามกลางอากาศอันหนาวเหน็บ
ที่พักที่ผมได้จองวันนี้ คือ ที่พัก Sapa E-Lite Hotel จากแผนที่ด้านล่างที่ลงรถจะอยู่ทางขวามือ ส่วนโรงแรมอยู่ซ้ายมืออยู่บนเขาครับ
ถึงโรงแรมแล้วมาชมบรรยากาศในโรงแรมกันบ้าง เริ่มต้นจาก Lobby ตกแต่งได้ทันสมัยทีเดียวครับ
ภายในห้องพัก มี Heater ซึ่งช่วยให้หายหนาวได้มากครับ
ในห้องน้ำมีเครื่องทำน้ำอุ่น อาบน้ำแบบสะท้านความหนาวได้สบายๆ
และที่พิเศษสุดๆ คือ อุปกรณ์ทำความร้อนใต้เตียงนอน สุดยอดมากๆ อุ่นมากๆ นอนสบายแบบไม่อยากลุกออกไปจากผ้าห่มเลยทีเดียว
สำรวจห้องเสร็จแล้ว ลงมากินอาหารเช้าที่โรงแรมดีกว่าออกไปหนาวข้างนอก
เลยเสียเพิ่ม 3 USD สำหรับอาหารเช้าเพิ่มอีกวัน ผมว่าราคาไม่แพงครับ
อิ่มหนำสำราญกันแล้ว อาบน้ำ นอนเอาแรงกันซักหน่อย แล้วมาตะลุยซาปากันครับ
ตื่นมาตอนเที่ยง ต้องเติมพลังกองทัพซะหน่อย ด้วยสเต๊กเนื้อ พร้อมเครื่องเคียง 100,000 ดองครับ อร่อยเว่ออ
เดินตามทางด้านล่างมา จะเป็นทางไป Cat Cat Village
ค่าเข้าชม 20,000 กีบ
ขอบคุณแผนที่จาก http://www.hotsia.com/vietnaminfo/sapa/catcat-village/index.shtml
การเริ่มต้นเที่ยว Cat Cat Village (หมายเลข 1) เป็นจุดขายตั๋วเข้าชมหมู่บ้าน
เดินลงมาเรื่อยๆ จะเจอทางแยก (หมายเลข2) ดังรูปด้านบน เลี้ยวซ้ายตรงซอยเล็กๆ ซึ่งเป็นทางเดินไปเที่ยวน้ำตก Sliver (หมายเลข 6)
ระหว่างทางเดินจะเจอกับการทำนาขั้นบันได ทำให้อดใจถ่ายภาพไม่ได้จริงๆครับ
แถมได้เจอต้นซากุระ ดอกสีชมพูทีเดียว
เดินจากแยกประมาณ 600 เมตร พอได้เหนื่อยก็จะเจอสะพานข้ามห้วยเล็ก เดินข้ามมาจะเจอน้ำตก Sliver (หมายเลข 6)
ขากลับต้องเดินกลับจากน้ำตก Sliver (หมายเลข 6) ไปเลาะลำห้วยตามหมายเลข 11
เดินข้ามห้วย (หมายเลข 12) จะเจอกับลานจอดรถพร้อมร้านขายของที่ระลึกครับ
จากจุดนี้สามารถเดินกลับหมู่บ้านได้ ระยะทางประมาณ 1.5 กิโลเมตร หรือนั่งรถมอเตอร์ไซค์รับจ้างกลับในราคา 100,000 ดอง ซึ่งผมเลือกนั่งรถกลับมาที่พัก เพราะให้เดินต่อไปอีก มีโอกาสหนาวจนสะท้านไปทั้งตัวแน่นอนครับ
อาบน้ำนอนพักผ่อนเอาอีกซักรอบ ตื่นมาปั๊บท้องดันเรียกร้องให้ต้องออกไปหาอาหารกินแล้ว แต่อากาศหนาวแบบนี้ หิวนี่เนอะ ออกไปหาอาหารร้อนๆกินแก้หนาว น่าจะสบายอารมณ์แถมท้องอิ่มด้วย ซึ่งเดินลงจากเขานิดเดียวก็เจอร้านอาหารเลยครับ
ร้านอาหารมีของปิ้งย่างพร้อมทั้งผัดผักน้ำมันหอย แต่มันช่างอร่อยเสียจริงๆ
กินอาหารเสร็จแล้ว ถ่ายรูปชิวๆ ได้แปบเดียวก่อนเดินกลับที่พัก เพราะอากาศหนาวมากกครับ
การเดินทางวันที่เก้า
การเดินทางทริปนี้เข้าสู่วันที่เก้าแล้ว โปรแกรมวันนี้ คือเที่ยวซาปาช่วงเช้า และตอนเย็นนั่งรถไป Lao cai เพื่อไปขึ้นรถไฟไปฮานอย
ตื่นเช้ามากินข้าวเช้า จิบน้ำชาที่ทางโรงแรมเอามาเสริฟฟรี คลายหนาวได้ดีทีเดียว
อิ่มเรียบร้อยแล้วมาเริ่มเดินเที่ยวกันเลยครับบ…เช้านี้เดินเที่ยว ตลาดซาปา เป็นตลาดกลางเมืองซาปา ซึ่งมีของพื้นบ้าน ทั้งของกินและของใช้มากมายครับ
เดินหนาวได้พักใหญ่ หากินข้าวเที่ยงกันครับ เมนูกระทะร้อนที่ซาปา แสนอร่อยจริงๆ
หลังจากเที่ยว ตลาดซาปา เสร็จแล้วเดินกลับที่พักชอบมุมนี้สุดๆแล้วครับ
นั่งรอรถตู้มารับที่โรงแรม ถึงบ่ายสามครึ่งก็มีรถตู้มารับไปขึ้นรถไฟที่ Lao cai ใช้เวลาเดินทาง 1.30 ชั่วโมง ถึง Laocai สี่โมงครึ่งครับ
ลงรถตู้เดินมาทางซ้าย เดินตามทางมาเรื่อยๆ ตามทางที่คนเดินมาเยอะๆ รับรองเจอสถานีรถไฟขวามือแน่นอนจ้าา
เจอร้านเฝอใกล้ๆ สถานีรถไฟ เลยแวะรองท้องซะหน่อยจ้าา
หน้าตาสถานีรถไฟ Laocai เป็นสถานีรถไฟเล็กๆ แต่สามารถจอดรถไฟได้ 4 ชานชาลา ไม่น่าเชื่อจริงๆ
เวลาก็เดินมาถึงเวลาขึ้นรถไฟไปฮานอยกันแล้ว เดินขึ้นรถไฟตามขบวนที่จองไว้ มองหาตู้ที่นอนของเรา
รถไฟมีทางเดินเล็กๆ
เข้าไปในห้องเป็นเตียงนอนสองชั้น มีที่เก็บกระเป๋าด้านบน บรรยากาศน่านอนสะอาดสะอ้านดีมาก
มาชมห้องน้ำกันบ้างครับ ว่าสะอาดแค่ไหน ผมว่าสะอาดสะท้านดีกว่าที่คิดครับ
วันนี้ขอนอนหลับพักผ่อนกับการเดินทางด้วยรถไฟ 9 ชั่วโมงครึ่ง ในการเดินทางถึงฮานอยครับ
การเดินทางวันที่สิบ
เช้าวันที่สิบ เดินทางถึงฮานอยตีสี่ครึ่ง หลังจากเดินลงจากรถไฟ พบบรรยากาศเช้ามืดที่ฮานอย หนาวจับใจทีเดียวครับ
หลังจากลงรถไฟแล้ว มองหาทางออกสถานีรถไฟ ตามโปรแกรมวันนี้ต้องไปขึ้นเครื่องบินไปดานังตอนบ่ายโมง แต่ปรากฏว่ารถไฟถึงเร็วกว่าที่คาดคิดไว้ ทำให้ต้องไปสนามบินไปกว่าที่วางแผนไว้ โดยรอบนี้ไปรถแท๊กซี่ของ Mailinh ซึ่งเดินออกมาจากโดยบังเอิญ เพราะตั้งใจตั้งแต่แรกว่าจะไม่ขึ้นแท๊กซี่ที่มารอเรียกหน้าสถานีครับ
ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมง ค่ารถแท๊กซี่ 402,000 ดอง ซึ่งถูกกว่าตอนขามาฮานอยประมาณ แสนดอง ถึงจะถูกกว่าก็ยังแพงอยู่ดี แต่มันเลือกไม่ได้ทำใจรับสภาพแต่โดยดีครับบ
ถึงสนามบินฮานอยแล้ว เดินสำรวจสนามบินกันหน่อย
เนื่องจากมาเช้าเกินไป เคาน์เตอร์เช็คอินของ Jetstar ยังไม่เปิดให้บริการ
มองจากไปนอกสนามบินเห็นรถโดยสารประจำทางจากสนามบินเข้าเมืองฮานอยจอดให้บริการเยอะทีเดียวครับ
เดินหาของกินรองท้องได้ไส้กรอก กับบะหมี่รองท้อง อิ่มสบายท้องเลยครับ
นั่งรอเครื่องบินร่วม 6 ชั่วโมงก็ได้เวลาเข้าไปข้างในเพื่อรอขึ้นเครื่องครับ
การเดินทางไปดานังครั้งนี้ ใช้บริการสายการบิน Jetstar ครับ
ใช้เวลาเดินทาง 1 ชั่วโมง ก็ถึงสนามบินดาลัดครับ
เดินถามหารถโดยสารเข้าเมือง ถามจนได้ความว่าสนามบินดานังไม่มีรถโดยสารเข้าเมือง จึงต้องจำเป็นที่จะเรียกแท๊กซี่เข้าเมือง แต่ระยะทางไม่ไกลมาก จึงเสียค่ารถไป 95,000 ดอง
ที่พัก Fulmar Hotel เป็นที่พักที่ดาลัดของเราวันนี้จ้า
11 Yen Bai Street, Hai Chau District, แม่น้ำฮาน, ดานัง, เวียดนาม (ดูแผนที่)
ขึ้นลิฟต์มาดูบรรยากาศห้องพักกันบ้างครับ
เนื่องจากมีเวลาเที่ยวดานังแค่วันเดียวเท่านั้น หลังอาบน้ำเก็บของกันเรียบร้อยแล้ว จึงรีบออกไปเดินสำรวจดานังกันครับ
เดินจากที่พักไม่ไกลมาก ก็ถึงทางเดิน เที่ยวริมแม่น้ำหาน ซึ่งแม่น้ำหาน สถานที่ท่องเที่ยวหลักของเมืองดานัง
ช่วงเย็นริมแม่น้ำหานยังเป็นจุดที่เดินเล่นและวิ่งออกกำลังกายของชาวเมืองดานัง
นอกจากนั้น กลางคืนมีการเปิดไฟที่สะพานข้ามแม่น้ำหาน ซึ่งสวยงามมาก กลายเป็นจุดที่นักท่องเที่ยวจะมาถ่ายรูป ชมความงามของแสงสีชมความงามของไฟที่สะพานข้ามแม่น้ำหานยามค่ำคืน
มาชมสะพานข้ามแม่น้ำหานอีกจุดนึง ซึ่งอยู่ใกล้ๆกันครับ
เดินเที่ยวริมแม่น้ำเสร็จแล้ว เดินชมเมืองกันต่อจ้าา
แวะซื้อขนมปังกินแนะนำร้านนี้เลยครับ แม้จะคุยกัน แต่แม่ค้าพยายามให้เราชิมก่อน ขนมอร่อยแถมแม่ค้าใจดีแบบนี้เลยขอถ่ายรูปเป็นที่ระลึกมากันหน่อยครับ
เดินถ่ายรูปชิวๆ ระหว่างกลับที่พักจ้าา
เดินมาจะถึงที่พักแล้ว ไปสะดุดตากับร้านนี้ เลยแวะกินข้าวเปียกสไตล์เวียดนาม อร่อยสุดๆ
เดินเที่ยวชมดึกจนได้เวลาอันสมควรกันแล้ว จึงตัดสินใจกลับที่พัก เนื่องจากเช้ารุ่งขึ้นต้องนั่งรถยาวไปปากเซกันต่อครับ
การเดินทางวันที่สิบเอ็ด
ตื่นเช้าของการเดินทางวันที่สิบเอ็ดต้องตืนแต่ตี่สี่ เพื่ออาบน้ำออกจากที่พัก แล้วเตรียมตัวไปขึ้นรถไปปากเซกันครับ
สภาพรถโดยสารไปปากเซวันนี้ เป็นรถนอนตามกำหนดการแจ้งไว้ว่าถึงปากเซสามทุ่มครับ
วิ่งออกจากดานังได้พักใหญ่ ผ่านอุโมงที่ถือว่ายาวที่สุดเท่าที่ผมเคยเดินทางมาทั้งชีวิตครับ
ออกจากอุโมงค์เจอวิวภูเขา ลำธาร ที่ยากที่จะอดใจถ่ายภาพเก็บไว้ได้ครับ
ชมวิวแบบเพลินๆ สลับกับการนอนหลับบ้าง ก็ถึงด่านชายแดนเวียดนาม เวลาประมาณเที่ยงครึ่ง ท้องร้องตาเริ่มลายแล้ว นึกในใจว่าเมื่อไหร่จะแวะพักให้กินข้าวเที่ยงหนออ
ข้ามด่านชายแดนเวียดนามแล้ว เข้าสู่ประเทศลาว พอข้ามด่านมาแล้ว ได้กินข้าวเที่ยงแล้วจ้าา อิ่มแปร่เลยมื้อนี้ คิคิ
ก่อนเข้าสู่ประเทศลาวอย่างเป็นทางการ เอานามบัตรที่พักมาฝากกันครับ
ข้ามเข้าสู่ประเทศลาวแล้ว คิดในใจว่ายังไงถึงปากเซต้องตรงตามกำหนดการเดิม คือ สามทุ่มแน่นอน
แต่!!! ถึงปากเซจริง เที่ยงคืนตรงเป๊ะ เล่นเอาการเดินทางรอบนี้ทำให้ผมถึงที่พัก โรงแรมเอราวัณ ริเวอร์ไซด์ (Arawan Riverside Hotel) แล้วสลบไสยเลย หมดแรงจริงๆอะไรจริง เลยอาบน้ำแล้วหลับปุ๋ยเลยครับ…
การเดินทางวันที่สิบสอง
ตื่นเช้ากินอาหารเช้าที่โรงแรม มีให้เลือกหลายอย่างดูดีทีเดียวจ้าา
กินข้าวเสร็จแล้ว เดินชมรอบโรงแรม ชมวิวแม่น้ำโขงกันบ้างครับ
ก่อนออกร่วมเดินทางผมเอาแผนที่เที่ยวมาอธิบายโปรแกรมกันก่อนครับ
สถานที่แรก คือ น้ำตกผาส้วม เดินทางจากที่พักมาทางขวา ตรงแบบไม่ต้องเลี้ยว เพราะมันคือถนนหมายเลข 23 ขับมาได้ประมาณหลัก 20 แล้วแยกซ้ายเข้าถนนหมายเลข 20 ประมาณสิบห้ากิโลเมตร เข้าสู่อุทยานแห่งชาติบาเจียง สังเกตุง่ายๆคือข้ามสะพานแคบๆ มาก่อน จะเจอทางโค้ง เลยทางโค้งมานิดเดียว
จะเจอแยกเข้าน้ำตกมาประมาณ 2 กิโลเมตรครับ
ค่าตั๋วเข้าชมน้ำตก 5,000 กีบ ค่าจอดรถ 2,000 กีบ
จากประตูทางเข้า จะมีที่จอดรถทางซ้ายมือ เดินข้ามสะพานจะเจอร้านอาหารอยู่ซ้ายมือครับ
สถานที่สอง คือ น้ำตกตาดเยื้อง จากถนนหมายเลข 23 ขับมาได้ประมาณหลัก 40 แล้วแยกขวาเข้าสู่อุทยานแห่งชาติบาเจียง เลี้ยวขวาเข้าไปอีก 2 กิโลเมตร ค่าเข้าชม 13,000 กีบครับ
ตะลอนทัวร์ริมโขงตอนเย็นกันต่อครับ แต่รูปออกมาไม่ค่อยสวยเท่าที่เห็นเลยครับ แอบผิดหวังนิดๆ ครับ
เจอร้านติมซำน่ากินดี เลยสั่งมากินแบบหนำใจ เต็มโต๊ะเลยคร้าบ…
การเดินทางวันที่สิบสาม
โปรแกรมหลัก คือ ขับรถไปเที่ยว ปราสาทหินวัดพู เป็นโบราณสถานในประเทศลาว ซึ่งเป็นมรดกโลกแห่งที่สองของประเทศลาว ตั้งอยู่บนเนินเขาภู หรือเรียกกันว่าภูควาย ห่างจากตัวเมืองเก่าจำปาสักประมาณ 6 กิโลเมตร อยู่ห่างจากปากเซ 40 กิโลเมตร ลักษณะของปราสาทเป็นเทวสถานขอม คล้ายกับเขาพระวิหาร สร้างในราวพุทธศตวรรษที่ 12 ในสมัยของพระเจ้ามเหนทรวรมัน ถือว่าเป็นปราสาทหินที่มีอายุเก่าแก่ที่สุด
การเดินทางไปปราสาทหินพู สามารถเช่ารถขับไปจากปากเซได้สบายๆครับ รถยนต์วิ่งน้อย ถนนดีตอนทางครับ
ราคาค่าฝากรถ 3,000 กีบ ค่าเข้าชม 45,000 กีบ ซึ่งราคานี้รวมค่าเข้าชม ปราสาทหิน พร้อมรถกอล์ฟไฟฟ้ารับส่ง ครับ
นั่งรถกอล์ฟไฟฟ้าเข้ามาประมาณ 1 กิโลเมตร ก็ถึงตัวปราสาทครับ
แต่การเที่ยวปราสาทหินวัดพูวันนี้อากาศช่างไม่เป็นใจกับเราซะเลย ฝนตกหนักจนผมอดได้ภาพจากมุมสูง เลยตัดใจกลับมา ที่ร้านกาแฟ บริเวณจุดซื้อตั๋วเพื่อหลบฝนครับ
สั่งโกโกร้อนซะแก้วช่วงฝนตกหนัก ได้บรรยากาศชิวๆ มากเลยครับบ
หลังจากนั่งหลบฝนซักพักใหญ่ร่วมชั่วโมงทีเดียว ฝนเริ่มซาลง ผมเลยตัดสินใจเบิ่งขับรถกลับปากเซให้ไวที่สุด เพื่อที่จะไม่เจอฝนอีก
แต่เกิดเหตุการณ์ที่ผมเองก็ไม่คาดคิด ขับมาได้ซักไม่เกิน 15 นาที ฝนตกลงมาอีกครั้ง คราวนี้หนักกว่าเดิมอีก และปัญหาใหญ่ของผมคือไม่มีที่หลบฝน เลยยอมฝ่าฝนไปเรื่อยๆ หนาวก็หนาว เป็นทริปที่สุดๆจริงๆ ในที่สุดก็ขับมาเจอปั๊มน้ำมัน ผมเลยแวะแบบไม่ต้องคิดเลย ถือว่าเติมน้ำมันให้เต็มแล้วหลบฝนไปไหนตัวด้วยครับ
พอเติมน้ำมัน 22000 กีบ เลยขอแวะหลบฝน ชาวบ้านน่ารักมาก ให้ผมหลบฝนแถมยังเอาน้ำมาให้ผมกินด้วย ประทับใจคนที่นี่มากจริงๆ
กลับมาถึงปากเซแล้วไหว้พระ วัดหลวง หรือวัดโพธิ์ระตะนะสาสะดาราม สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2478 เป็นวัดเก่าแก่และเป็นโรงเรียนสงฆ์แห่งแรกของจำปาสัก
บรรยากาศภายในวัด
บรรยากาศในอุโบสถ
บรรยากาศริมแม่น้ำ
เที่ยวเสร็จแล้ว คืนรถมอเตอร์ไซค์ แล้วนั่งเดินทางกลับที่พักเพื่อเตรียมตัวกลับประเทศไทยวันรุ่งขึ้นครับ
การเดินทางวันที่สิบสี่ (วันสุดท้าย)
การเดินทางวันนี้เป็นวันสุดท้ายของการเดินทาง เดินออกจากที่พัก ออกมาขึ้นรถตู้ไปช่องเม็ก แต่ต้องรอให้เต็ม ค่าโดยสาร 100 บาท ตอนบ่ายๆ รอนานมาก แต่บริเวณที่ขึ้นรถตู้มีร้านกาแฟดาว สามารถนั่งรอรถออกได้ครับ
ถึงด่านช่องเม็ก อย่าลืมแวะซื้อกาแฟดาวเรือง ของฝากขึ้นชื่อของประเทศลาว ที่ Duty Free นะครับ มี หลายรสชาติ หลายขนาด รสชาติดีทีเดียว ซื้อของฝากกันแล้ว ต้องเสียค่าธรรมเนียมฝั่งลาว 50 บาท
ในที่สุดก็ข้ามมาฝั่งประเทศไทย เสียค่าจ้างรถรับจ้าง 20 บาท ไปสถานีขนส่งช่องเม็ก แล้วใช้บริการรถตู้โดยสารกลับจังหวัดอุบลราชธานี โดยค่าตั๋ว 100 บาทครับ
ถึงสถานีขนส่งอุบลราชธานีเรียกแท๊กซี่ไปสนามบินประมาณ 50 บาท เพื่อรอขึ้นเครื่องกลับกรุงเทพจ้าา
เดินทางกลับ กรุงเทพ ด้วยสายการบินไทย เวลา 17.35 น. ถึงสนามบินสุวรรณภูมิ เวลา 18.45 น.
สุดท้ายต้องขอบคุณทุกท่านที่ติดตามอ่านตั้งแต่แรกจนจบ ทริปต่อไปจะไปที่ไหน ติดตามชมรายละเอียดได้ที่
Facebook : https://www.facebook.com/TeawMuNDotCom/