เที่ยวเขื่อนเชี่ยวหลาน ขนอม ด้วยตัวเอง
วางแผนเดินทางกันก่อน
เที่ยวเขื่อนเชี่ยวหลาน ขนอม พัก แพ 500 ไร่ เดอะนินท์รีสอร์ท ด้วยแพจแกจสุดคุ้ม 7900 บาท รวมตั๋วเครื่องบินการบินไทย รถรับส่งสนามบิน ที่พัก อาหาร ฟรี ทุกมื้อ คุ้มกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว ส่วนการเดินทางของผมมาติดตามกันเลยครับ….
การเดินทางวันแรก
การเดินทางวันนี้ ใช้บริการสายการบินไทยสไมล์ เพื่อเดินทางไปจังหวัดสุราษฎร์ธานี ขึ้นเครื่องที่สนามบินสุวรรณภูมิ ซึ่งนานๆทีจะได้บินเที่ยวบินในประเทศที่สนามบินสุวรรณภูมิครับ
ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมง ก็ถึงสนามบินสุราษฎร์ธานี เนื่องจากจองแพจแกจแบบส่วนตั๊วส่วนตัวกันมาจากกรุงเทพแล้ว ครั้งนี้เลยสบายหน่อยมีรถตู้ไปรับถึงสนามบินเพื่อเดินทางไปเขื่อนเชี่ยวหลานกันครับ
หลังจากขึ้นรถตู้กันเรียบร้อยแล้ว ใช้เวลาเดินทางไปเขื่อนเชี่ยวหลานอีก 1 ชั่วโมง 30 นาที ก็ถึงบริเวณสันเขื่อนรัชชประภา หรือเขื่อนเชี่ยวหลานกันแล้วจ้าา แวะถ่ายภาพบริเวณสันเขื่อนกันก่อนขึ้นเรือไปแพ 500 ไร่กันครับ
หลังจากถ่ายภาพบริเวณสันเขื่อนกันหนำใจแล้ว ได้เวลาขึ้นเรือเพื่อเดินทางไป แพ 500 ไร่กันแล้ว บรรยากาศระหว่างนั่งเรือสมกับเป็นกุ้ยหลินเมืองไทยจริงๆ
ในที่สุดก็เดินทางมาถึง ที่พักที่ผมอยากมาพักผ่อนตั้งนานแล้ว แพ 500 ไร่ ที่พักที่นี่เป็นแพ 2 ชั้นสำหรับพักได้ 4 คน เหมาะสำหรับครอบครัวมาก บรรยากาศด้านหน้าแพเป็นพื้นน้ำกว้างใหญ่พร้อมด้วยเรือแคนูให้พายกันเล่นอีกด้วยครับ
จองเลยจ้า >> http://www.agoda.com/th-th/500-rai-khao-sok-floating-resort/hotel/suratthani-th.html?cid=1583889
ถ่ายภาพบรรยากาศในห้องเรียบร้อยแล้ว ได้เวลาอาหารเที่ยงมื้อแรกของการเดินทางกันแล้วจ้า
กิจกรรมวันแรกแทบไม่ได้ทำอะไรเลย แค่นั่งๆนอนๆ ชมวิวบรรยากาศผืนน้ำอันกว้างใหญ่ข้างหน้าอย่างเดียวก็มีความสุขแล้วครับ
นั่งๆนอนๆอ่านหนังสือ ทอดกายอิ่มเอมกับบรรยากาศแสนสวยที่อยู่ตรงหน้า เผลอแปบเดียวก็เริ่มมืดซะแล้ว ได้เวลาอาหารมือค่ำกันแล้ว
หลังจากรับประทานมื้อค่ำกันแล้ว นอนพักเอาแรงเตรียมเดินทางกลับในวันรุ่งขึ้นแล้ว ความรู้สึกตอนนี้รู้สึกว่าทำไมความสุขถึงผ่านไปเร็วจัง อยากพักที่นี่นานๆ แต่ด้วยเวลาจึงต้องยอมกลับตามระเบียบจ้า
การเดินทางวันที่สอง
เช้าการเดินทางวันที่สอง ตื่นเช้ามาสัมผัสกับบรรยากาศที่สดชื่น เติมหลังด้วยข้าวเช้า อาบน้ำอาบท่า เก็บของเพื่อเตรียมตัวนั่งเริอไปสันเขื่อนกันครับ
เดินทางจากสันเขื่อนไปเที่ยวจุดชมวิวเมืองสุราษฎร์ธานี ณ เขาท่าเพชร ซึ่งจากจุดนี้สามารถเห็นวิวตัวเมือง สวยงามมากเลยครับ
ที่พัก เดอะนินท์รีสอร์ท ที่พักริมทะเล ชายหาดแสนสวย ห้องพักสะอาด อาหารทะเลสดๆ สำหรับท่านอื่นจะคิดยังไงส่วนตัวไม่ทราบ แต่สำหรับผมที่นี่เป็นหนึ่งในที่พักในฝันเลยครับ
จองเลยจ้า > http://www.agoda.com/th-th/the-nin-resort-khanom/hotel/khanom-nakhon-si-thammarat-th.html?cid=1583889
มาชมบรรยากาศในห้องพักกันบ้างครับ
แม้แต่บรรยากาศอาหารยามค่ำคืน ก็ยังสวยงามไม่แพ้ตอนกลางวันเลยจ้าา เหมาะสำหรับการพักผ่อนอย่างยิ่ง
การท่องเที่ยววันนี้เลยสิ้นสุดด้วยบรรยากาศที่สวยงามที่ เดอะนินท์รีสอร์ท นอนเอาแรงเพื่อเที่ยวต่อวันสุดท้ายจ้าา
การเดินทางวันที่สาม
เช้าวันที่สาม ตื่นเช้าหน่อยมาชื่นชมบรรยากาศยามเช้าพร้อมทั้งรับประทานอาหารเช้า ริมชายหาดฟินสุดๆเลย
โปรแกรมเที่ยวจุดแรก เกาะนุ้ยนอก เกาะเล็กกลางทะเลในอำเภอขนอม จังหวัดนครศรีธรรมราช แต่มีสิ่งที่มหัศจรรย์บนเกาะ ทำให้เกาะแห่งนี้กลายเป็นสถานที่ Unseen เนื่องจากบนเกาะนี้มีบ่อน้ำจืดที่มีรูปร่างคล้ายกับรอยเท้าขนาดกว้างประมาณ 30 นิ้ว สามารถมองเห็นได้ในตอนที่น้ำทะเลลดลง ถ้าเป็นช่วงที่น้ำขึ้น บ่อน้ำนี้ก็จะถูกน้ำทะเลท่วมหมด เชื่อกันว่า พื้นที่แห่งนี้คือบริเวณที่เกิดตำนาน “หลวงปู่ทวดเหยียบน้ำทะเลจืด”
ตามความเชื่อหรือเรื่องเล่านั้น เชื่อว่าบ่อน้ำนี้เกิดจากรอยเท้าของหลวงปู่ทวด ที่เชื่อว่าสามารถเหยียบน้ำทะเลจืดได้ โดยหลวงปู่ทวด ได้เดินทางไปกับเรือจากสงขลา ไปยังกรุงศรีอยุธยา ระหว่างทางเกิดพายุและทำให้เรือขาดแคลนน้ำจืด หลวงพ่อทวดจึงได้เหยียบน้ำ กลางทะเล ทำให้น้ำทะเลบริเวณนี้กลายเป็นแอ่งน้ำจืดกลางทะเลขึ้นเพื่อให้ลูกเรือได้ดื่ม แต่ตามหลักวิทยาศาสตร์นักธรณีวิทยาอธิบายว่า “บ่อน้ำจืด” แห่งนี้ เป็นช่องเปิดที่ต่อเนื่องกับรอยแตกในชั้นหินใต้ผิวโลก และรอยแตกนั้นเชื่อมต่อกับสายน้ำใต้ดินหรือสายน้ำบาดาล ที่ซึมลงใต้ดิน จากพื้นแผ่นดินบนฝั่งเมื่อระดับน้ำทะเลลดต่ำลง น้ำจืดข้างล่างก็ดันน้ำเค็มออกหมดกลายเป็นบ่อน้ำจืดที่อยู่กลางทะเลน้ำเค็ม
บนยอดเขาของเกาะนุ้ยจึงมีหลวงปู่ทวดประดิษฐานอยู่ด้วย เมื่อมาถึงเกาะนุ้ยนอก มีทางบันไดเดินขึ้นไปก็สะดวกเพื่อไปไหว้หลวงปู่ทวด ข้างบนมีจุดชมวิว สามารถมองเห็นเกาะสลับซับซ้อน บริเวณรอบๆ หากไปช่วงที่น้ำลงสามารถเดินข้ามไปมาระหว่างเกาะได้อย่างสบาย บนเกาะยังมีห้องน้ำไว้บริการนักท่องเที่ยวด้วย
หลังจากเที่ยวเกาะนุ้ยกันที่เรียบร้อยแล้ว ได้เวลากลับที่พักเพื่อเตรียมตัวเดินทางไปสนามบินกันครับ ซึ่งก่อนเดินทางไปสนามบินได้แวะเที่ยวสวนโมกขพลาราม อยู่บริเวณเขาพุทธทอง ริมทางหลวงหมายเลข 41 บริเวณกิโลเมตรที่ 134 เดิมชื่อวัดธารน้ำไหล มีท่านพุทธทาสภิกขุเป็นผู้ริเริ่มสร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2502 เพื่อเป็นสถานที่แสวงหาความสงบและศึกษาธรรม มีโรงมหรสพทางวิญญาณ ซึ่งประกอบด้วยภาพศิลป์ บทกวี คติธรรมคำสอนในพุทธศาสนานิกายต่าง ๆ ภาพพุทธประวัติ ภาพจำลองจากภาพหินสลัก เรื่องพุทธประวัติในอินเดีย รอบบริเวณร่มรื่น เหมาะสำหรับเป็นที่ฝึกอบรมจิตใจและศึกษาพุทธศาสนา
ที่มาของชื่อ ” สวนโมกข์พลาราม ” : เราว่าไปคนเดียว คิด คิด คิดไปตามกฎเกณฑ์ หรือตามถ้อยคำที่มีไช้อยู่ และเพื่อขบขันบ้าง เรามันมีนิสัยฮิวเมอริสท์อยู่บ้าง ฟลุคที่ว่ามันมีต้นโมก และต้นพลา ที่สวนโมกข์เก่านั้น เอาโมกกับพลามาต่อกันเข้า มันก็ได้ความหมายเต็มว่า ” กำลังแห่งความหลุดพ้น ” ส่วนคำว่าอาราม แปลว่า ที่ร่มรื่น ที่รื่นรมย์ เมื่อมันฟลุคอย่างนี้มันก็ออกมาจริงจัง ตรงตามความหมายแท้จริงของธรรมะ มีความหลุดพ้น เรียกว่า ” โมกข-พลาราม ” เป็นชื่อสำนักป่าที่จัดขึ้นมาเพื่อส่งเสริมวิปัสนาธุระที่มาของชื่อ ” สวนโมกข์พลาราม ” : เราว่าไปคนเดียว คิด คิด คิดไปตามกฎเกณฑ์ หรือตามถ้อยคำที่มีไช้อยู่ และเพื่อขบขันบ้าง เรามันมีนิสัยฮิวเมอริสท์อยู่บ้าง ฟลุคที่ว่ามันมีต้นโมก และต้นพลา ที่สวนโมกข์เก่านั้น เอาโมกกับพลามาต่อกันเข้า มันก็ได้ความหมายเต็มว่า ” กำลังแห่งความหลุดพ้น ” ส่วนคำว่าอาราม แปลว่า ที่ร่มรื่น ที่รื่นรมย์ เมื่อมันฟลุคอย่างนี้มันก็ออกมาจริงจัง ตรงตามความหมายแท้จริงของธรรมะ มีความหลุดพ้น เรียกว่า ” โมกข-พลาราม ” เป็นชื่อสำนักป่าที่จัดขึ้นมาเพื่อส่งเสริมวิปัสนาธุระ
ขอบคุณที่มา : http://www.dhammathai.org/watthai/south/suanmokkh.php
เที่ยวกันต่อครับ สถานที่ต่อไปอยู่ติดกับ สวนโมกขพลาราม ได้แก่ วัดพระบรมธาตุไชยาราชวรวิหาร เป็นพระอารามหลวงชั้นเอกชนิดราชวรวิหาร พระบรมธาตุไชยาเป็นสถานที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นับเป็นปูชนียสถานสำคัญคู่บ้านคู่เมือง ของจังหวัดสุราษฎร์ธานี
เจดีย์พระบรมธาตุไชยา ที่สร้างขึ้นตามแบบลัทธิมหายาน ตั้งแต่ครั้งอาณาจักรศรีวิชัยรุ่งเรือง รอบองค์พระธาตุมีเจดีย์เล็กๆ ๔ ทิศ ล้อมรอบด้วยวิหารคด ซึ่งประดิษฐานพระพุทธรูปเก่าแก่ขนาดต่างๆ โดยรอบทั้ง ๔ ด้าน เป็นสถาปัตยกรรมแบบศรีวิชัยองค์เดียวที่ยังอยู่ในสภาพที่ดีที่สุด สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นประมาณพุทธศตวรรษที่ 13-14 ไม่ปรากฎประวัติการสร้างและผู้สร้าง เข้าใจว่าสร้างในขณะที่เมืองไชยาสมัยศรีวิชัยกำลังเจริญรุ่งเรืองสูงสุด
โดยองค์เจดีย์พระบรมธาตุเป็นทรงสี่เหลี่ยมจตุรมุขย่อ มุขด้านหน้าหรือมุขด้านตะวันออก เปิดมีบันไดขึ้นสำหรับให้ประชาชนเข้าไปนมัสการพระพุทธรูปภายในเจดีย์ เมื่อเข้าไปภายใน จะเห็นองค์พระเจดีย์หลวง เห็นผนังก่ออิฐแบบไม่สอปูนลดหลั่นกันขึ้นไปถึงยอดมุข อีกสามด้าน ทึบทั้งหมด ที่มุมฐานทักษิณมีเจดีย์ทิศหรือเจดีย์บริวารตั้งซ้อนอยู่ด้วย หลังคาทำเป็น 3 ชั้นลดหลั่น กันขึ้นไป แต่ละชั้นประดับรูปวงโค้งขนาดเล็กและสถูปจำลองรวม 24 องค์ เหนือขึ้นไปเป็นส่วนยอด ซึ่งได้รับการซ่อมแซมครั้งใหญ่ในรัชกาลที่ 5 เป็นการบูรณะปฏิสังขรณ์ยอดเจดีย์ที่เดิมหักลงมาถึงคอ ระฆัง ทำให้เห็นลวดลายละเอียดเสียหายมาก รวมทั้งฐานเจดีย์ที่จมอยู่ใต้ดินได้ขุดดินโดยรอบฐาน พระเจดีย์ และทำลายรากไม้ในบริเวณนั้นแล้ว ก่ออิฐถือปูนตลอดเพื่อให้เห็นฐานเดิมของเจดีย์
อีกทั้งลวดลายประดับเจดีย์ ได้มีการสร้างเพิ่มเติมใหม่ด้วยปูนปั้นเกือบทั้งหมด เป็นลายปั้นใหม่ ตามความคิดของผู้บูรณะ มิได้อาศัยหลักทางโบราณคดี รวมถึงลานระหว่างเจดีย์และพระระเบียง เปลี่ยนจากอิฐหน้าวัวเป็นกระเบื้องซีเมนต์ จนถึงในรัชกาลปัจจุบัน พ.ศ.2521-2522 ได้รับการ บูรณะปฎิสังขรณ์ใหญ่อีกครั้ง โดยการบูรณะในครั้งนี้เป็นการซ่อมแซมของเก่าที่มีอยู่เดิมให้คงสภาพดี
หลังจากเที่ยวกันเรียบร้อยแล้ว ทางโรงแรมได้บริการแวะร้านขายของฝากเป็นผ้าไหมไชยาและสามารถเรียนรู้วิธีการการทอผ้าได้อีกด้วย
สำหรับการเดินทางกลับกรุงเทพด้วยสายการบินไทย ลงสนามบินสุวรรณภูมิ นั่งรถแท๊กซี่กลับบ้านโดยสวัสดิภาพครับ
สุดท้ายนี้ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้าอ่านกันนะครับ
ส่วนทริปต่อไปจะเดินทางไปไหนกัน ติดตามชมเพิ่มเติมกันได้ที่
Facebook : https://www.facebook.com/TeawMuNDotCom/
แล้วอย่าลืมกดไลท์เพจกันด้วยนะครับ ^_^