เที่ยวมาเก๊า ฮ่องกง ด้วยตัวเอง
วางแผนก่อนการเดินทาง
แผนการเดินทางไปมาเก๊าฮ่องกงครั้งนี้ เกิดขึ้นโดยบังเอิญไปเจอราคาตั๋วเครื่องบิน สายการบิน แอร์มาเก๊า ไปกลับราคา 6,000 กว่าบาท ซึ่งค่อนข้างถูกมากสำหรับการเดินทางช่วงเทศกาลแบบนี้ มารู้ตัวอีกทีจ่ายเงินไปเรียบร้อยแล้ว อิอิ..
การเดินทางรอบนี้ เดินทางด้วยมาลงที่มาเก๊า พัก โรงแรมทาวน์เวลล์ (Towns Well Hotel) จำนวน 1 คืน และนั่งเรือข้ามฝั่งไปเที่ยวฮ่องกง โดยพักย่านซิมซาจุ่ย พัก Kowloon New Hostel จำนวน 3 คืนและต้องย้ายมาพักใกล้ๆที่เดิมที่ New Euro Asia Guest House จำนวน 2 คืน ซึ่งภาพรวมโรงแรมที่มาเก๊าจะถูกและใหญ่กว่า แต่ไม่ใช่มาที่ฮ่องกงจะถึงกับแย่มากมาย ข้อเสียของที่พักฮ่องกงอย่างเดียวคือห้องแคบถึงแคบมาก ประมาณว่ากลับตัวก็แทบชวนกันแล้วครับ
การเดินทางวันแรก
การเดินทางวันแรก ออกจากที่พักไปถึงสนามบินสุวรรณภุมิตั้งแต่ 4 ทุ่ม เลยลงมาหาข้าวกินที่ศูนย์อาหาร ชั้น 2 สามารถนั่งลิฟต์หรือบันไดเลื่อนขึ้นลงมายังศูนย์อาหารได้ครับ และสาเหตุหลักที่ลงไปที่ศูนย์อาหารเนื่องจากที่นั่งรอไม่มีที่ว่างเลยมานั่งชิวๆ เล่นรอเวลาจนใกล้ 5 ทุ่มครึ่งจึงขึ้นไปต่อแถว Check-in เพื่อขึ้นเครื่องกันครับ
***วันแรกมี Event อย่างแรก คือ ชื่อในตั๋วที่จองออนไลน์กับ พาสปอร์ตมีตัวอักษรเกินมา 1 ตัว แต่โชคดีที่ตัวดังกล่าวไม่ทำให้การออกเสียงแตกต่างไปจากเดิม ไม่งั้นได้เสียเงินเพิ่มแน่ๆ ***
หลังจาก Check-in โหลดกระเป๋าเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เดินเข้าไปด่านตรวจคนเข้าเมือง ซึ่งตอนนี้บังคับให้กรอกทั้งบัตรขาเข้าและขาออก แม้จะสามารถใช้เครื่องอัตโนมัติได้ก็ตาม สำหรับมือใหม่ ผมเอาวิธีการกรอกให้เป็นตัวอย่างด้านล่างครับ
หลังจากเดินเข้าไปด้านในก็จะพบกับสัญลักษณ์ประจำสนามบิน และร้านค้ามากมาย แต่เนื่องด้วยวันนี้วางแผนผิดพลาดนิดหน่อย เลยไม่ได้เดินดูอะไรเลย เพลียแทบหมดแรง เลยไปนอนเอาแรงซักงีบใกล้ๆประตูที่ใช้ขึ้นสนามบินกันดีกว่าครับ
มาชมบรรยากาศบนเครื่องแอร์มาเก๊า พร้อมอาหารที่เสริฟบนเครื่อง มีให้เลือกแค่หมูกับไก่ ถึงมีให้เลือกน้อยไปนิดแต่โดยรวมถือว่าพอใช้ได้ครับ
การเดินทางวันที่สอง
ใช้เวลาเดินทางไปประเทศไทยประมาณ 2.50 ชั่วโมง ก็เดินทางถึงสนามบิน Macau International Airport ซึ่งตามเวลาท้องถิ่นมาเก๊าซึ่งเร็วกว่าประเทศไทย 1 ชั่วโมง และการตรวจเอกสารเข้าเมืองของมาเก๊าไม่ต้องกรอกเอกสารอะไรทั้งนั้น ยื่นแค่พาสปอร์ตก็สามารถเข้าประเทศได้แล้วครับ
ถึงสนามบินเวลาประมาณ 06.30 น. ซึ่งเวลาดังกล่าวยังไม่มีรถโดยสารใดให้บริการเลย เนื่องจากส่วนใหญ่เปิดให้บริการตั้งแต่ 09.00 น. เป็นต้นไป ซึ่งสามารถนั่งรถโดยสารประจำทางสาย 36 แล้วต่อสาย 22 ตามรูปด้านล่าง หรือสามารถกำหนดจุดหมายปลายทางได้ใน Google Map เลยครับ ทดสอบมาแล้ว ข้อมูลค่อนข้างถูกต้องมากๆเลยครับ
วันที่สองมี Event ที่สองของทริปนี้ คือ ไม่มีรถโดยสาร เลยต้องขึ้นแท๊กซี่ ซึ่งค่าโดยสารประมาณ 120 MOP ค่ากระเป๋าสำหรับไว้หลังรถอีกใบละ 5 MOP ซึ่งจริงๆแล้ว กระเป๋าใบเล็กก็ไว้ด้านหน้าได้ แต่เพราะความไม่รู้และไม่เคยขึ้นเลยต้องจ่ายตามระเบียบจ้า
ที่พักที่เลือกในมาเก๊าครั้งนี้เลือกพัก โรงแรมทาวน์เวลล์ (Towns Well Hotel) จำนวน 1 คืน ราคาประมาณ 2500 บาทต่อคืน ซึ่งถือว่าเป็นราคาที่ถูกและดีทีเดียวหากเทียบกับราคาและสภาพที่พักใกล้เคียง สนใจจองโดยคลิกที่นี่เลยจ้า ปกติโรงแรมสามารถเช็คอินได้บ่ายสอง แต่ไหนก็มาถึงแล้ว ฝากกระเป๋าแล้วไปเที่ยวกันเลยครับ ภาพถ่ายในห้อง ถ่ายหลังจากเช็คอินช่วงเย็นแล้วนะครับ กดคลิกดูสภาพห้องพักจ้า
หลังจากเช็คอินฝากกระเป๋า หาร้านอาหารเช้ากินกันรองท้องหน่อยดีกว่า เดินไปเจอร้านโจ๊ก ซึ่งของบอกว่าเป็นร้านเดียวจริงๆที่เปิดในยามเช้าแบบนี้ ซึ่งเป็นร้านเล็กใกล้ซากโบสถ์เก่า เลยจัดการสั่งโจ๊กตับกับหมูนุ่ม ราคาชามละ 25 MOP พร้อมปาท่องโก๋ราคา 10 MOP ซึ่งราคาไม่แพงมากแถมอร่อยอีกด้วยครับ บอกเลยว่าเด็ดมากสำหรับมื้อแรก
โปรแกรมตามแผนวันแรกก็คือ เดอะเวเนเซียน ซึ่งสามารถนั่งรถเมล์สาย MT4 ไปได้จากย่านที่พักครับ
ส่วนค่ารถแนะนำให้แลกเหรียญเศษย่อย 1 MOP / 2 MOP / 5 MOP ไว้เยอะรับรองได้ใช้คุ้มแน่ๆครับ เพราะเวลาขึ้นรถหากไปวันเดียวแบบผมแนะนำให้แลกเหรียญจะดีกว่า แต่ถ้าไปหลายวันแนะนำซื้อบัตร Pass ดีกว่าครับ
บัตร MACAUpass คือระบบชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์ที่ใช้เทคโนโลยีบัตร IC ที่ติดตั้งบนยานพาหนะขนส่งสาธารณะทุกคันในมาเก๊า ผู้โดยสารไม่จำเป็นต้องใช้เหรียญและสามารถใช้บัตรซื้อของที่ร้านสะดวกซื้อ ร้านขนมปังบางแห่ง และเครื่องจำหน่ายเครื่องดื่มแบบหยอดเหรียญได้ ราคาบัตรอยู่ที่ 130 MOP เป็นค่ามัดจำบัตร 30 MOP เติมเงินขั้นต่ำ 50 MOP เวลาขึ้นรถเมล์จะได้ส่วนลดไปเยอะมาก ใช้ครั้งนึงประมาณ 2 MOP (จากราคาเต็ม 3.2 ช่วยประหยัดไปได้เยอะ)
จุดคืนบัตร Macau Pass ที่ Macau Pass Counter เดินไปจาก Senedo Square ประมาณ 10 นาที เปิดทุกวัน 10.00 – 19.00 น.
ตอนคืนบัตรให้นำใบเสร็จตอนซื้อไปแสดงด้วย จะได้ค่ามัดจำบัตร 30 MOP ส่วนเงินที่เหลือจะไม่มีการคืนให้ เพราะฉะนั้นใช้ให้หมดก่อนนะ
ขอบคุณข้อมูลจาก : http://hongkong-guide.blogspot.com/2011/10/macau-pass.html
พอลงจากป้ายรถเมล์ต้องเดินข้ามถนนไปอีกฝั่งก็สามารถเดินเข้าฝั่ง West Lobby Wing ซึ่งมีเป็นที่จอดรถ Shuttle Bus รับส่งฟรีมากมาย
พอถึงแล้วเดินดิ่งไปยัง คาสิโน เพื่อไปสมัคร บัตร Sand Reward Club ข้อจำกัดการสมัครและเล่นคาสิโนก็ถือคนที่อายุต่ำกว่า 21 ปี ไม่สามารถเข้าใช้งานและสมัครบัตรได้ ลจำนวนแต้มที่ใช้แลก Macau – Hong Kong Cotai Class Ferry Ticket 18 Point / Hong Kong – Macau Cotai Class Ferry Ticket 28 Point ประหยัดค่าตั๋วเรือค่าไป 154 $ ขากลับ 165 $
วันที่สองมี Event ที่สามของทริปนี้ คือ เล่นเท่าไหร่ก็แต้มไม่ขึ้น แถมยังเสียตังไปคิดแล้วไม่คุ้มค่าตั๋วเรือแล้ว เลยหยุดเล่นทันที แล้วตัดใจจ่ายค่าตั๋วเรือแต่โดยดี ท่านใดคิดแบบนี้ผมแนะนำให้เลิกคิดเลยครับ ซื้อตั๋วเรือเลยดีกว่าเยอะครับ
หลังจากตัดใจเสียเงินค่าตั๋วเรือแล้ว รู้สึกชีวิตดี๊ดีคลายความกังวลไปได้เรื่องนึงแล้ว เลยเดินถ่ายรูปภายใน เดอะเวเนเซียน มาเพียบเลยครับ ภายในสวยจริงๆครับ ผมนี่ยอมเลย…
วันที่สองมี Event ที่สี่ของทริปนี้ เป็นเรื่องสืบเนื่องจากการที่จองตั๋วเรือ Cotai Water Jet ไว้ ไหนๆก็มา เดอะเวเนเชี่ยนแล้ว ก็เลยถือโอกาสนั่งรถฟรีที่นี่ไปเอาตั๋วเรือที่จองไว้ แล้วนั่งรถฟรีกลับมาที่ เดอะเวเนเชี่ยนเหมือนเดิมครับ
ขากลับโรงแรมนั่งรถโดยสารประจำทางสายเดิม MT4 แต่ขึ้นป้ายรถเมล์ฝั่งตรงกันข้ามครับ
เดินลงจากรถเรียบร้อยแล้ว เต็มเปี่ยมไปด้วยความหิวโซจากการเที่ยว เดอะเวเนเชี่ยน ประมาณว่าเจอร้านไหนก็สามารถเข้าได้หมดทุกร้าน และโชคดีก็เข้าข้างเราไปพบกับร้านบะหมี่สารพัดหน้า เป็นร้านเล็กราคาไม่แพงมาก เลยจัดเต็มเลยครับมื้อนี้ สั่งบะหมี่น้ำลูกชิ้นกุ้ง อันนี้ลูกชิ้นไม่อร่อย / บะหมี่แห้งซี่โครงหมูทอด เมนูนี้ซี่โครงหมูทอดเด็ดมากเลยต้องเบิ้ลเฉพาะซี่โครงหมูทอดกันเลยทีเดียวครับ
หลังจากอิ่มกันแล้ว ยังไม่ได้เช็คอินห้องกันเลยนี่หน่า เลยจัดการเก็บข้าวเก็บของ โดยเทคนิคการจัดกระเป๋าสำหรับไปทริปหลายประเทศคือ ถ้าแวะประเทศแรกไม่กี่วัน ผมจะแยกเสื้อผ้าไว้อีกกระเป๋าใบเล็ก และจะไม่เปิดกระเป๋าใหญ่ให้เกะกะเด็ดขาด เทคนิคนี้ช่วยให้เราจะวุ่นวายแค่กระเป๋าใบเดียวเท่านั้น ทำให้เสื้อผ้าในวันที่เหลือจะเรียบและไม่ยุ่งเหยินในการเก็บกระเป๋าเดินทางต่อด้วยครับ
หลังจากเก็บสัมภาระ พร้อมทั้งอาบน้ำอาบท่ากันเรียบร้อย นั่งพักหายเหนื่อยจากการเดินทางแบบข้ามคืนกันมาแล้ว ได้เวลาตะลอนเดินสำรวจแถวที่พักกันแล้วจ้าา
จุดแรกที่จะเดินไป คือ ซากประตูโบสถ์เซนต์ปอล เดิมเป็นโบสถ์คาทอลิกที่สำคัญในมาเก๊า ซึ่งถูกเพลิงไหม้และพายุไต้ฝุ่นถล่มในช่วงปี ค.ศ. 1835 จนเหลือเพียงซากประตูโบสถ์
บริเวณนี้มีร้านค้ามากมาย ดูส่วนใหญ่จะขายหมูแผ่น แล้วก็ทาร์คไข่ อาหารขึ้นชื่อของมาเก๊า
เดินย้อนกลับมาใกล้ๆย่านที่พักไปเรื่อยๆ จนถึงจุดที่สองจะเดินไป คือ โบสถ์เซนต์โดมินิค เป็นโบสถ์ที่มีความสัมพันธ์กับคณะสงฆ์พระแม่มารีแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1587 โดย 3 บาทหลวงนิกายโดมินิกันชาวสเปนที่มาจากอะคาปุลโกในเม็กซิโก และโบสถ์นี้เองที่ได้ตีพิมพ์หนังสือพิมพ์ A Abelha da China (“The China Bee”) ซึ่งเป็นหนังสือพิมพ์ภาษาโปรตุเกสฉบับแรกบนแผ่นดินจีนในวันที่ 12 กันยายน ค.ศ. 1822 ส่วนหอระฆังด้านหลังอาคารได้มีการปรับเปลี่ยนเป็นพิพิธภัณฑ์ขนาดเล็กที่ในตอนนี้แสดงงานศิลปะประมาณ 300 ชิ้น
เดินสำรวจพร้อมทั้งเที่ยวและหาอาหารกินกันที่เรียบร้อยแล้ว วันนี้ขอพักผ่อนไวนิดนึงเพราะพรุ่งนี้ต้องนั่งเรือข้ามไปประเทศฮ่องกงกันครับ
การเดินทางวันที่สาม
การเดินทางวันทีสามตามแผนได้จองตั๋วเรือ Cotai Water Jet ไปฮ่องกง ไว้รอบ 12.00 น. เช้าวันนี้เลยตื่นมาสูดบรรยากาศยามเช้าย่านซากประตูโบสถ์เซนต์ปอลกันครับ
เช้าวันนี้คนโล่งมาก แตกต่างจากเมื่อเย็นของเมื่อวานที่คนพลุกพล่านเต็มไปหมด เดินเล่นจนใกล้เวลาเดินทางไปฮ่องกงกันแล้ว เก็บข้าวของไปที่ Taipa Ferry Terminal ซึ่งเป็นท่าเรือที่ขึ้นเรือไปฮ่องกงของเราครับ
กติกาการขึ้นเรือที่นี่ ง่ายมากครับ เรือ Cotai Water Jet จะออกทุกครึ่งชั่วโมง พยายามให้มาถึงก่อนประมาณ 1 ชั่วโมง เพื่อทำเรื่องตรวจคนขาออกประเทศมาเก๊า ตรวจตั๋ว แล้วจะมีเจ้าหน้าที่ล็อคที่นั่งของเราไว้ ถ้ามีถึงก่อนรอบที่เราจองไว้แล้วเรือยังว่างอยู่ ทางเรือจะให้เราขึ้นที่จะเดินทางก่อนเลยจ้า
ตารางเรือจาก Taipa Ferry Terminal <>Hongkong Macau Ferry Termical ดูจากตารางด้านล่างเลยจ้า หรือถ้าอยากจะเปลี่ยนท่าเรือขึ้นลง กดลิ้งเพิ่มเติมได้เลยจ้าา >>http://www.cotaiwaterjet.com/ferry-schedule/hongkong-macau-taipa.html
หลังจากใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมง ก็ถึงค่าเรือ Hong Kong Ferry Terminal (Shung Wan MRT Station) อันนี้ต้องจำชื่อสถานีให้ดีเลยครับ เพราะขากลับไปมาเก๊าต้องมาท่าเรืออีกจะได้ไม่หลงแล้วทำให้เสียเวลาจ้าา
ไหนๆจะเที่ยวฮ่องกงกันแล้ว มาขอเกริ่นการเดินทางประเทศด้วยแผนที่รถไฟฟ้าในประเทศฮ่องกงซักเล็กน้อย ซึ่งผมได้ทำ Landmark สถานที่ท่องเที่ยวตามสถานที่ต่างๆให้เรียบร้อยแล้วจ้า
สำหรับที่พักในประเทศฮ่องกง พัก Kowloon New Hostel จำนวน 3 คืนแรก โดยจองผ่าน agoda ไว้ หาไม่ยากถ้าคนรู้ แสดงว่าถ้าไม่รู้ยากหละสิ ตอบได้เลยว่าใช่ครับ
โรงแรมนี้ อยู่ในตึก Mirador Mansion ถามว่ารู้ได้ยังไง ในใบเสร็จที่เราจ่ายเงินจะบอกไว้ จะต้องไปเช็คอินที่ชั้น 13 ก่อนเท่านั้น ต้องรับบัตรคิวเพื่อเช็คอิน ต้องวางเงินมัดจำค่าห้อง$500HKD ได้คืนเมื่อเช็คเอ้าท์ ไวไฟฟรีในห้อง ผ้าเช็ดตัวต้องขอตอนเช็คอินไม่มีไว้ในห้อง ถ้าไม่ขอไม่มีให้และจะเปลี่ยนต้องนำมาเปลี่ยนหลัง 11 โมงเช้าของอีกวัน ถึงจะมีให้เปลี่ยน ถ้าต้องการทำความสะอาดห้องต้องเสียเงินเพิ่ม แต่ถ้าพักเกิน 3 คืน จะทำความสะอาดให้ฟรี 1 ครั้ง เช็คอินฝากกระเป๋าฟรีระหว่างรอห้องทำความสะอาด แต่ถ้าเช็คเอาท์จะฝากกระเป๋าต้องเสียเงินค่าฝาก มีเรทราคาตามระยะเวลา โดยรวม สำหรับที่พักนอน อาบน้ำ เก็บของ
เริ่มต้นเที่ยววันแรกที่ฮ่องกง ที่ The Peak กันจ้า ซึ่งสามารถเดินทางไปได้ 2 ทางเลืิอก
- นั่งรถรางขึ้น The Peak ลงสถานี Central ออกทางออก J2
- นั่งรถ BUS 15 C ลงสถานี Central ออกทางออก A เพื่อข้ามไป Bus Terminal อีกฝั่งได้จ้า
ตอนแรกตั้งใจจะนั่งรถรางขึ้่น The Peak พอเดินไปเห็นคิว ถอยกลับมารถ Bus ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมง ก็เดินทางไปมา The Peak แล้วจ้า
ถึง The Peak แล้วลงรถ BUS สัมผัสกับอากาศที่เย็นสบาย เหมาะกับการเดินเล่นถ่ายรูปมากเลยครับ
ท้องเริ่มร้องกันแล้ว เดินตัดสินใจเดินขึ้นไปบน Sky Terrace 428 จนไปสะดุดกับร้านอาหาร WildFire+ เป็นร้านอาหารขายพวกอาหารจำพวกพิซซ่าเลยจัดมาซักชุด วิวโต๊ะที่ได้นั่งถือว่าสุดยอดที่สุดในร้านแล้วครับ หมดไป 425 HK$ ถ้าเทียบราคากับบรรยากาศวิวสวยอะคุ้มแต่อาหารแพงไปหน่อยย…
หลังจากกินอิ่มกันแล้ว เดินขึ้น Sky Terrace 428 เสียค่าตั๋วขึ้นชมคนละ 48 HK$ พอไปถึงจะได้รับหูฟัง พร้อมไอแพดสำหรับฟังข้อมูลอาคารที่สามารถเห็นได้จากด้านบนนี้ แต่ถ้าจะขึ้นมาชมวิวเฉยๆ แนะนำไม่ต้องขอเค้าเดินชมวิวเฉยๆ รับลมเย็นๆ แค่นี้ก็สุขหัวใจแล้วจ้าา
นั่งถ่ายรูปวิวด้านบน นั่งรอกันจนดึก เพื่อให้ได้รูปวิวเปรียบเทียบกันระหว่างช่วงที่เห็นจากแสงอาทิตย์ และตอนกลางคืนที่เห็นแสงไฟจากตัวอาคาร เป็นความสวยที่แตกต่างกันในคนละบรรยากาศ
เดินทางกลับที่พัก ด้วยรถ Bus สาย 15C เหมือนเดิม แนะนำขาเดินทางลงจาก The Peak ให้กลับรถ Bus จะไวกว่ามาก แม้คิวจะยาวไม่แตกต่างกัน แต่ความถี่ของรถ Bus ที่สามารถให้คนนั่งมากกว่ารถรางมากทีเดียวครับ ถึงที่พักสลบเลยจ้าา อาบน้ำพักผ่อนเตรียมตัวเที่ยวกันต่อพรุ่งนี้จ้า
การเดินทางวันที่สี่
ตื่นเช้ามาวันนี้รู้สึกสดใสเป็นพิเศษ เพราะโปรแกรมการเที่ยววันนี้ แบบเต็มวันที่ สวนสนุกฮ่องกงดิสนีแลนด์ ซึ่งการเดินทางมา สวนสนุกฮ่องกงดิสนีย์แลนด์สามารถไปได้หลายวิธีด้วยกัน
โดยการนั่งรถ Bus มายังสวนสนุกดิสนีย์แลนด์ ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ >>https://www.hongkongdisneyland.com/th/guest-services/bus/
โดยนั่งรถไฟฟ้าใต้ดินจากสถานี Tsim Sha Tsui มายังสถานี Disneyland Resort
แต่ต้องมาต่อรถที่สถานี Sunny Bay ซึ่งขบวนรถจากสถานีนี้เข้า Disney Resort ภายในและภายนอกขบวนรถจะถูกแต่งด้วย Theme การ์ตูนของดิสนีย์แลนด์ทั้งหมดจ้า
หลังจากลงจากขบวนรถไฟ ก็จะเจอกับป้ายทางเดินเข้าต้อนรับนักท่องเที่ยวเข้าสู่ดินแดนแห่งสวนสนุกแห่งนี้แล้วครับ พร้อมทั้งน้ำพุปลาวาฬที่มีมิกกิเมาสฺ์ลอยอยู่บนน้ำที่พุ่งออกจากหลังปลาวาฬด้วยจ้า
ค่าตั๋วเข้า สวนสนุกดิสนีย์แลนด์ คิดเป็นเงินไทยคนละ 539 HK$ สามารถจองออนไลน์ได้ครับ คลิกที่ลิ้งเลยจ้า https://www.hongkongdisneyland.com/th/tickets/
ก่อนจะพาเที่ยวกัน ผมขอเกริ่นแนะนำสวนสนุกคร่าวๆ กันก่อนนะครับ ภายในสวนสนุก 7 โซนด้วยกัน 1) Main Street, U.S.A. 2) Adventureland 3) Grizzly Gulch 4) Mystic Point 5) Toy Story Land 6) Fantasyland และสุดท้าย 7) Tomorrowland
สนใจชมรายละเอียดในฮ่องกงดิสนีย์แลนด์แบบเต็มๆ ได้ที่ https://www.teawmun.com/?p=8142
เริ่มต้นด้วย โซนแรก Main Street, U.S.A. โซนนี้จะเน้นไปทางขายของที่ระลึก ร้านอาหารมากกว่าเครื่องเล่นเลย
มาต่อกันที่โซนที่สองครับ The Adventure Land กิจกรรมหลักๆที่ทำในโซนนี้หรือการถ่ายรูปล่องเรือไปยังดินแดนอันล่าพิศวง
ได้เวลาล่องเรือไปยังดินแดนอันล่าพิศวงกันแล้ว ไปลุยกันดีกว่าาา….
เที่ยวไป 2 โซนแล้ว ขอพักเบรครับประทานอาหารเที่ยง เป็นอาหารสไตล์มาเล รสชาติบอกตรงๆ ไก่โอเคอยู่ แต่ข้าวเหมือนข้าวแขกแฉะๆ ปลายเรียว ยังไงก็สู้ข้าวไทยไม่ได้จริงๆครับ
มาเที่ยวต่อโซนที่สามกันครับ Grizzly Gulch โซนนี้จะตกแต่งแบบมีกลิ่นอายคาวน์บอยมีเครื่องเล่นหลักคือการนั่งรถเหมืองแร่ น่าสนุกมากเลยครับ
มาเที่ยวต่อโซนที่สี่กันต่อเลยจ้าา Mystic Point โซนนี้จะตกแต่งแบบอาคารแบบเทพนิยาย สวยงามทีเดียวเลย โซนนีไม่ใหญ่มากครับ เดินแปบเดียวก็สามารถเดินไปโซนต่อไปได้เลยจ้า
โซนที่ห้า Toy Story Land แต่งอาคารเครื่องเล่นต่างๆ ด้วยสีสันสวยงาม สมกับเป็นโซน Toy Story Land จริงๆครับ
เดินจากโซน Toy Story Land แล้ว เดินเที่ยวต่อที่โซน Fantasy Land ต่อเลยจ้าา
โซนนี้แต่งแนว Fantary สมกับชื่อเลยครับ แถมยังมีจุดที่น่าสนใจมากมาย ทั้งสถานีรถไฟ การผจญภัยของหมีพู เมืองย่อขนาด รวมทั้งสวนสวยๆ
แต่เนื่องจากมีเวลาจำกัดเลยเลือกที่ เมืองย่อขนาด หรือ It’s a small world เท่านั้นครับ
แ
มาต่อกันที่โซนสุดท้ายกันครับ Tomorrow Land แปลง่ายๆ เมืองแห่งอนาคต ซึ่งในโซนนี้จะมีการแปลงโฉมเครื่องเล่นให้ล้ำยุคสมกับชื่อ Tomorrow Land
หลังจากเที่ยวครบทุกโซนกันแล้ว เดินวนกลับมาบริเวณหน้าทางเข้าซึ่งเป็นปราสาทที่ถูกตกแต่งด้วยไฟยามค่ำคืนเหมาะแก่การถ่ายรูปอย่างยิ่ง จัดไปป..
ปิดท้ายทริปเที่ยวสวนสนุกดิสนีย์แลนด์กันด้วยการประดับแสงไฟสวยๆยามค่ำคืนของที่นี่ และปิดท้ายด้วยการช๊อปปิ้งร้านค้า พร้อมทั้งความสุขที่เต็มเปี่ยมในการมาเที่ยวครั้งนี้
การเดินทางวันที่ห้า
การเดินทางวันที่ห้า จากการผิดพลาดวันก่อนที่ไม่ได้กินข้าวเช้ากันเลย วันนี้เลยตั้งใจหาอาหารเช้ากินให้จงได้ เลยเปิด APP Wongnai แอปนี้แนะนำจริงๆ ตอนแรกเข้าใจว่ามีเฉพาะประเทศไทยที่ไหนได้ ร้านอาหารที่ฮ่องกงเพียบ เลยจัดแจงเลือกเอาซักร้านก่อนสำหรับวันนี้ หวยเลยออกร้าน Hung Lee Restaurant
เดินทางด้วยรถไฟใต้ดิน ออกที่ สถานี Tsim Sha Tsui ทางออก B2 (จุด A) ตามลูกศร ไปยังร้าน Hung Lee (จุด B) ใช้เวลาในการเดินเ้ท้าไม่เกิน 3 นาที
สนนราคาโจ๊ก มีให้เลือกตั้งแต่ 24-35 HK$ ถือว่าราคาไม่แพงเลยครับ ปาท่องโก๋สนนราคา 12 HK$ ถือว่าเป็นมื้อแรกที่ยอดเยี่ยมทีเดียวครับ
โปรแกรมแรกวันนี้ คือไปนั่งกระเช้า Ngong Ping ที่สถานี Tung Chung MRT ***เทคนิคการเที่ยวที่ Ngong Ping ผมแนะนำให้จองตั่วในเว็บก่อนเดินทางซักวันเลยครับ ตามลิ้งค์นี้ครับ http://www.np360.com.hk/en/buy-and-book/pricing-and-package/ ถ้าไม่จองไปล่วงหน้าอาจจะเจอปรากฏการณ์ต่อคิวซื้อตั๋ว 2-3 ชั่วโมงเป็นอย่างน้อยแน่ๆ ***
หลังจากเดินทางถึงสถานี Tung Chung MRT แล้ว ยังไม่ถึงกำหนดเวลาที่จองขึ้น cable car ไว้รอบ 11.30 น. เลยเดินเล่น Citygate Outlet ข้ามเวลากันก่อนครับ ภายในมีร้านค้ามากมาย ทั้ง Levis, Nike, Quiklsilver, Adidas, Clarks, Exprit, Samsonite, Nautica, Puma, Timbleland, K-Swiss, Giordano, Bally และอื่น ๆ อีกมากมาย ซึ่งจากการเดินดูหลายๆที่แล้ว ยืนยันว่าของที่ขายที่ Citygate Outlet ถูกที่สุดแล้วครับ
นอกจากร้านค้าแล้ว ภายในมีศูนย์อาหารราคาไม่แพงให้บริการด้วย ใครหิวๆ มากินข้าวที่นี่ได้เลยจ้า
เดินจนได้เวลาอันสมควรแล้ว เดินไปขึ้นกระเช้าเพื่อไป Ngong Ping กันเลย…
การเดินทางด้วย Cable Car ไป Ngong Ping ได้จองแบบ Crytral Cable Car ขาไปและ Cable Car ธรรมดาในขากลับครับ
ให้เวลานั่ง 15 นาที ก็เดินทางมาถึงหมู่บ้าน Ngong Ping ซึ่งช่วงเวลานี้มี Theme คิดตี้ ซึงทุกอย่างถูกตกแต่งด้วยคิดตี้ สาวๆที่มาเที่ยวช่วงนี้น่าจะชอบเป็นพิเศษจ้า
เดินผ่านหมู่บ้าน Ngong Ping ที่มีร้านค้ามากมายจะเจอกับทางเดินกว้างซึ่งเป็นทางเดินไปขึ้นบันไดไปไห้วพระใหญ่ Ngong Ping
พอถึงหน้าบันไดแล้วไปขอพรด้านล่างพร้อมทั้งถ่ายรูปกันก่อนเดินขึ้นจ้าา.. สวยงามทีเดียว
เดินขึ้นบันไดมาหลายขั้น ได้เหงื่อเลย สำหรับคนที่ไม่เคยเดินขึ้นบันไดหลายๆขั้นแบบนี้ แต่ขึ้นมาถึงข้างบนแล้ว อากาศดีมาก วิวดีมาก หายเหนื่อยเลยครับ
เดินลงมาจากการไหว้พระ Ngong Ping มาหาอะไรรองท้อง ซึ่งขาเดินไปได้เล็งร้านก๋วยเตี๊ยวลูกชิ้นซึ่งมีภาษาไทยด้วย จัดซะเลย อิอิ
สำหรับอาหารร้านนี้ แอบแพงไปนิด กับก๊วยเตี๋ยวและเกี้ยวผัก แต่ก็พอรองท้องได้ดีทีเดียวครับ หลังจากกินกันอิ่มหนำกันแล้ว นั่งกระเช้ากลับมาที่ Tung Chung MRT เพื่อเดินทางไปเที่ยวกันต่อจ้าา
หลังจากลงมา Tung Chung MRT แล้วเดินทางต่อไป Kowloon MRT เพื่อเดินทางเที่ยวต่อที่ Sky 100 Observation เพื่อขึ้นไปชมวิวด้านบนตึกครับ
ซึ่งผมได้จองแพจเกจ Night Package for 2 ราคา 198 HK$ ประหยัดกว่าปกติ 2 เท่าเลยทีเดียว
ซึ่งสามารถจองผ่านเว็บได้เลย >> http://sky100.com.hk/en/ticket-and-booking/ticket-information/
การเดินทางวันที่หก
เช้าวันนี้ต้องเปลี่ยนที่พักไปยังที่อื่นซึ่งใกล้ๆกัน ชื่อ New Euro Asia Guest House จำนวน 2 คืน ซึ่งโรงแรมอยู่ในตึก Chungking Mansion Zone E แต่เนื่องจากตึกนี้มีทางขึ้นแยกเป็นแต่ละโซน ตามรูปด้านล่างครับ
ส่วนสภาพห้องเทียบกับราคาที่ไม่แพงก็ถือว่าเหมาะสมตามราคา แต่ขอบอกเลยว่าต้องทำใจกับความแคบของห้อง แต่มีห้องน้ำในตัวมาชดเชยก็ถือว่าพอใช้ได้ทีเดียวครับ
หลังจากเก็บข้าวของกันแล้วเดินหาร้านอาหารเช้ากินกันครับ เช้านี้ตัดสินใจกินร้าน Chiu Fat Resturant ร้านอยู่ฝั่งตรงข้ามตึกที่พัก อีกทั้งมีเมนูภาษาไทยด้วยจ้า
โปรแกรมแรกวันนี้คือการเดินเล่นบริเวณอ่าววิกตอเรียถ่ายรูปชิวๆครับ
เดินเล่นเลาะริมอ่าววิกตอเรียมาเรื่อยๆ เลยคิดว่าไหนก็เดินมาถึงท่าเรือข้ามฟากแล้ว จัดซะหน่อยเลยตัดสินใจนั่งเรือข้ามฟากชมวิวซะเลย
หลังจากข้ามฝั่งทางบนเกาะฮ่องกงกันแล้ว เดินเล่นย่าน Central กันต่อครับ ซึ่งบริเวณนี้มีสวนสนุกเปิดใหม่ แต่ไม่ได้แวะแค่ถ่ายรูปมาให้ชมกันครับ
หลังจากเดินเล่นกันเรียบร้อยแล้ว เที่ยวกันต่อที่วัดหวังต้าเซียน ลงสถานี Wong Tai Sin MRT ทางออก B เดินเลี้่ยวขวามานิดหน่อยก็จะเจอทางเข้าวัด
ระหว่างทางเดินเข้าของวัด เราจะได้เห็นรูปปั้นลักษณะแปลกตา 3 องค์ตั้งอยู่ติดกัน รูปปั้นรูปแรก หมายถึง อยู่เย็นเป็นสุข รูปปั้นรูปที่สองหมายถึงดวงชะตาชีวิต รูปปั้นรูปที่สามหมายถึงความร่ำรวย, โชคลาภ อย่าเดินผ่านไปเฉยๆโดยเด็ดขาด ให้เราเริ่มไหว้ขอพร จากทั้ง 3 รูปปั้นนี้ก่อน แต่ตรงจุดนี้จะไม่สามารถปักธูปได้ ไหว้ขอพรได้เลย
วิธีการไหว้ วัดแห่งนี้อนุญาตให้เราจุดธูปไหว้ได้ภายในวัดเลย ด้านในจะมีทั้งหมด 3 จุด ที่อนุญาตให้ปักธูป โดยสรุปในการไหว้ขอพร 1 ครั้ง ใช้ธูปทั้งสิ้น 9 ดอก เราอาจจะเตรียมธูปของเราไปเองจากบ้านก้อได้ หรือจะซื้อบริเวณก้อมีไว้บริการหลายร้าน
จุดแรกที่เริ่มไหว้ก้อคือศาลท่านเทพหวังต้าเซียน ขอพรด้านสุขภาพ หากท่านใดจะบนบานขอให้ท่านอวยพร หรือช่วยเหลือเรื่องสุขภาพพลานามัยของเราและคนที่เรารัก ก้อสามารถกระทำได้ค่ะ คนจีนนิยมบนบานท่านเทพด้วยหมูกรอบ บางคนบนท่านด้วยหมูหัน เป็นตัวๆก้อมี สังเกตง่ายๆ คนฮ่องกงจะถือของแก้บน เข้ามาในวัด เพื่อแก้บนเป็นจำนวนมาก นั่นก้อแสดงว่า ท่านศักดิ์สิทธิ์และให้พร จนสิ่งที่ประชาชนบนไว้ ได้สำเร็จลุล่วงนั่นเอง
หมายเหตุ : ตำแหน่งแก้บน คือบริเวณหน้าศาลเทพเจ้าหวังต้าเซียน ตรงตำแหน่งเสี่ยงเซียมซีทำนายอนาคตนั่นเอง
เมื่อเรากราบไหว้ขอพรท่านเสร็จแล้ว ปักธูปจำนวน 3 ดอก ที่กระถาง แล้วเดินต่อไปยังตำแหน่งที่สองได้เลยค่ะ
เดินมาถึงต่ำแหน่งที่สอง ท่านจะได้พบกับเจ้าแม่กวนอิม ให้ท่านได้กราบไหว้สักการะขอพรองค์เจ้าแม่ เมื่อขอพรจนแล้วเสร็จ
ปักธูปจำนวนสามดอกในกระถางธูป จากนั้นเดินทางต่อไปยังตำแหน่งที่สามได้เลย
มาจนถึงจุดที่สาม นั่นก้อคือศาลท่านเจ้าที่นั่นเอง จุดนี้จะเป็นจุดสุดท้ายแล้ว ที่เราจะใช้ธูปในการบูชาขอพร ให้พวกเราขอพรจากท่านเจ้าที่ เมื่อแล้วเสร็จปักธูปและเดินทางต่อไปยังจุดที่สี่ได้เลย
จุดที่สี่ จุดนี้มีความสำคัญต่อท่านที่ยังไม่มีคู่ ยังไม่มีแฟน เพราะท่านจะได้กราบสักการะขอพรจากท่านเทพเจ้าหยุคโหลว-เทพแห่งความรักนั่นเอง
ท่านที่ยังไม่มีคู่รัก ขอจากท่านเทพได้เลยค่ะ
คำอธิบายเชิงลึกวิธีการขอคู่รักจากท่านเทพ เมื่อเรามาหยุดที่ท่านเทพเจ้าแห่งความรัก บริเวณใกล้กันจะมีคำอธิบายวิธีการขอพรอยู่ค่ะ
ในแผ่นป้ายจะบอกวิธีการทำมือ ทำนิ้วให้เป็นสัญลักษณ์ (ท่านที่ยังไม่มีคู่ เริ่มทำมือทำไม้กันแล้วใช่มั้ยเอ่ย) เมื่อเราทำมือได้ดังในรูปให้เราเดินไปหยิบด้ายสีแดงมาวางไว้ดังภาพ
ขั้นตอนจากนี้ไปสำคัญมาก (มือที่ทำเส้นด้ายเอาไว้ห้ามหลุดเลยนะค่ะ)
สำหรับผู้หญิง : ไหว้ที่องค์เทพเจ้าตรงกลาง 3 ครั้ง จากนั้นเดินไปด้านข้างจะมีรูปปั้นเจ้าสาวอธิษฐานขอคู่แล้วเสร็จไหว้ 3ครั้ง และเดินกลับมาที่รูปปั้นเจ้าบ่าว ใช้มือลูบที่เท้า 3 ครั้ง แล้วปล่อยมือออก และใช้เส้นด้ายสีแดงผูกไว้ที่เชือกแล้วเสร็จพิธี
สำหรับผู้ชาย : ไหว้ที่องค์เทพเจ้าตรงกลาง 3 ครั้ง จากนั้นเดินไปด้านข้างจะมีรูปปั้นเจ้าบ่าวอธิษฐานขอคู่แล้วเสร็จไหว้ 3ครั้ง และเดินกลับมาที่รูปปั้นเจ้าสาว ใช้มือลูบที่เท้า 3 ครั้ง แล้วปล่อยมือออก และใช้เส้นด้ายสีแดงผูกไว้ที่เชือกแล้วเสร็จพิธี
พูดง่ายๆก็คือ ขอพรเพศที่ตรงกับเพศเรา แล้วใช้มือลูบเท้าเพศตรงกันข้ามจ้า…
จุดสุดท้ายนี้จะมีศาลท่านขงจื้ออยู่ จุดนี้จะไม่มีการปักธูปแล้ว (ท่านใดยังถือธูปอยู่ แสดงว่า หยิบมาเกิน หรือปักที่จุด 1 2 และ 3 ไม่หมดค่ะ) ณ.จุดนี้ สามารถขอพรด้านสติปัญญา ความคิด ความเฉลียวฉลาด ท่านใดที่ยังเรียนอยู่ หรือจะขอพรให้บุตรหลานให้ประสบความสำเร็จด้านการเรียน ก้อสามารถขอได้จากท่านขงจื้อองค์นี้เลย
ขอพรครบทั้งหมดแล้ว หากต้องการผ่อนคลายไปกับบรรยากาศอันร่มรื่น เงียบสงบและสวยงามของวัดแห่งนี้ รวมทั้งถ่ายรูปในมุมสวยๆที่หลังศาลท่านขงจื้อจะมีสวนอยู่ แต่จะเสียค่าเข้า เป็นค่าธรรมเนียมในการบำรุงสถานที่อยู่ แต่ผมไม่ได้เดินเข้าไป เดินย้อนกลับมาด้านหน้าทางเข้าเลยจ้า
หลังจากไหว้พระขอพรทำให้รู้สึกสุขใจเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ได้เวลาเดินชอปปิ้งต่อที่ Lady market ซึ่งสามารถเดินทางมายังสถานี Mongkok แล้วเดินออกมาจากประตู D3 แล้วเดินทางถนนเส้นสีชมพู ซึ่งข้อมูลได้จาก Hongkong Fanclub จ้า
วิธีสังเกตุง่าย ก็คือ ถนนจะมีร้านค้าตั้งมากมายจนไม่สามารถสัญจรได้ แสดงว่าคุณมาถึง Lady Market แล้ว ร้านค้าในนี้ส่วนใหญ่มีทั้งเสื้อผ้า รองเท้า กระเป๋า ของกระจุกกระจิก รวมทุกอย่างที่ Lady Market มีหมดแต่ราคาแต่ละร้านอาจจะตั้งไว้ไม่เหมือนกัน เลยอยากให้ลองดูราคาตั้งแต่ละร้านก่อนแล้วค่อยซื้อน่าจะได้ของที่ถูกกว่าครับ
หลังจากเที่ยวกันเสร็ขแล้ว เนื่องจากวันที่ไปฮ่องกงตรงกับวัน Countdown ปีใหม่ เลยวางแผนนอนพักเอาแรงกันก่อน แล้วซักสามทุ่มค่อยตื่นไปกินข้าวไปจบที่ร้านใกล้ร้าน Chiu Fat Resturant มาชมกันว่าน่ากินพอจะสู้กับร้าน Chiu Fat Resturant ได้ไหมครับ
อิ่มหนำสำราญกันเรียบร้อยแล้ว เดินเข้างาน Countdown ปีใหม่ กันจ้า ซึ่งภายในตำรวจได้กั๊นเส้นทางเดินของผู้คนที่หลั่งไหลเข้ามาในงานนี้
***แนะนำการมา Countdown ปีใหม่ 1) ให้จองที่พักใกล้ Tsim Sha Tsui จะดีที่สุดเนื่องจากขากลับผู้คนจำนวนทะยอยกลับ ถึงแม้รถไฟฟ้าใต้ดินจะเปิดก็ตามแต่ก็ไม่คุ้มกันครับ 2) ให้เดินเข้างานก่อนอย่างน้อย 2 ชั่วโมง เช่นควรเดินเข้างานตั้งแต่สี่ทุ่มเป็นต้นไป 3) จะเจอคนที่มารอนานกว่าเราแบบว่าปูหนังสือพิมพ์นั่งกับพื้นมานมนานหลายชั่วโมงจำนวนมาก ดังนั้นหาทำเลเหมาะๆ ให้ด้านหน้าเห็นวิวอ่าววิกตอเรียให้ชัดที่สุด รอให้ใกล้ๆ พวกที่ปูเสื่อจะลุกขึ้น จากนั้นค่อยหาจังหวะเข้าไปด้านหน้าเลยจ้า
นั่งรอนอนรอยืนรอก็แล้ว คนก็ยิ่งเยอะขึ้นเรื่อยๆ จนมาถึงเวลาที่ทุกคนรอคอย เริ่มนับถยหลังจาก 15 14 13 12 11 10 9 8 7 6 5 4 3 2 1 0 — Happy New Year 2016- พลุจำนวนมากถูกจุดขึ้นเป็นเวลานานทีเดียว คุ้มค่าการรอคอยจริงๆครับ
การเดินทางวันที่เจ็ด
สวัสดีเช้าวันขึ้นปีใหม่ สดใสมีชีวิตชีวา อากาศก้อเย็นสบายเป็นใจซะเหลือเกิน ตื่นมาเดินเปลี่ยนร้านอาหารเช้ากันหน่อย วันนี้หวนเลยไปลงร้าน Yuen Kee Restaurant เมนูวันนี้ได้แก่ข้าวหน้าเป็ดกับเกี้ยวน้ำ น่ากินใช่ไหมหละ อยากรู้รสชาติเป็นยังไงต้องลองมาชิมเองครับป๋ม
หลังจากกินอาหารเช้าเป็นที่เรียบร้อยแล้่ว โปรแกรมแรกวันนี้คือ เที่ยวไหว้เจ้าแม่กวนอิม เจ้าแม่ทับทิม ที่ Tin Hau Temple บริเวณ Repluse Bay Beach เดินทางโดยไปสถานี Central MRT Exit A นั่งรถ Bus สาย 6/6A/6X/260 จาก Bus Terminal ที่ Exchange Square จุดเดียวกับที่นั่งรถไป The Peak เลยครับ
เดินเล่นชายหาดเพลินๆ มาซักระยะนึงจะเจอด้านหน้าทางเข้า Tin Hau Temple กันแล้วจ้า
มาถึงจุดขอพรจุดแรกกัน จะอยู่บริเวณหน้าวัดเลยจ้า เทพเจ้าแห่งโชคลาภ วิธีการคือให้เอาธนบัตร ใบละหนึ่งร้อย หรือหนึ่งพันบาทก็ได้ มาลูบตั้งแต่ศรีษะของเทพเจ้าผ่านหน้ามาถึงลำตัวแล้วเอาเข้ากระเป๋าตังค์เลย ประมาณว่าเอาเงิน เอาทอง เข้ากระเป๋าตัวเอง ถือเป็นความเชื่ออย่างหนึ่ง
เข้ามาด้านหน้า จะเจอองค์เจ้าแม่กวนอิม และเจ้าแมทับทิม ไหนๆก็มาถึงที่นี่แล้ว ขอพรกันซักหน่อยต้อนรับวันขึ้นปีใหม่ เอาฤกษเอาชัยกันซักหน่อยครับ
จากนั้นเราก็มาเดินที่สะพานต่ออายุ มีความเชื่อว่าถ้าเราเดินข้ามสะพานนี้ไปแล้ว จะอายุยืนขึ้น 3 ปี แต่ห้ามเดินย้อนขึ้นไปน่ะค่ะ อายุอาจจะสั่นลงไปอีก 3 ปีหรือเปล่าไม่ทราบ แต่เขาบอกว่าห้ามเดินย้อนกลับค่ะ
หลังจากเดินข้ามสะพานมาแล้ง จะเจอร้านกว้างด้านล่างไว้สำหรับถ่ายรูปกับรูปปั้นมากมายเลยครับ ยกตัวอย่าง มังกร ที่มีแก้วสารพัดนึก เค้าให้มาลูบๆ คลำๆ แล้วขอพร จะได้ตามประสงค์
ถ้าอยากให้ชีวิตคู่ของเรายั่งยืนนานนั้นก็ให้มานั่งระหว่างสิงห์ 2 ตัว ตรงนี้เค้าจะทำเป็นที่นั่ง แล้วมาขอพร ถ้ามากัน 2 คน ก็นั่งกัน 2 คน แต่ ถ้ามาคนเดียว ก็นั่งคนเดียว แล้วคิดถึงคนๆ นั้น แล้วก็ขอพรให้อยู่กันยาวนาน
ส่วนใครที่ยังไม่มีคู่ และอยากได้คูล่ะก็มาขอให้ที่นี่เช่นกัน 1) วิธีที่ 1 สำหรับคนที่กำลังแอบชอบ และยังไม่ได้บอกรักให้เอามือวางบนหินสีดำลูกนี้ แล้วอธิฐาน 2) วิธีที่ 2 สำหรับคนที่เกิดมาแล้วยังหาเนื้อคู่ไม่ได้ ให้มาขอพรที่เทพเจ้าแห่งความรัก เพราะถ้าสังเกต เทพเจ้าจะถือสมุดเล่มใหญ่ๆ ภายในจะมีรายชื่อของหนุ่มสาวที่เทพเจ้าพร้อมจะประทานให้ในบัดดล
ขากลับเดินทางด้วยรถ BUS สายเดิมกับมายังสถานี Central จากนั้นก็นั่งรถรางเล่นแล้วกลับที่พักเป็นอันจบโปรแกรมวันขึ้นปีใหม่ในวันนี้ครับ
การเดินทางวันที่แปด
ตื่นเช้ามาวันนี้เป็นที่ค่อนข้างเงียบเหงา เนื่องจากเป็นวันสุดท้ายของการเดินทางกันแล้วซึ่งช่างขัดแย้งกับความรู้สึกในใจลึกๆ ยังไม่อยากกลับเลย แต่ทำไงได้เวลาพักผ่อนมีเพียงเท่านี้ แต่มิให้ว่าวันจะกลับแล้วจะไปเที่ยวอะไรเลย ที่ไหนได้ อาหารเช้ามื้อนี้จัดเต็มก่อนกลับ เดินผ่านมาหลายวันแล้ว ทั้งหาข้อมูลในเน็ตก็น่าสนใจ แต่ติดตรงราคามันจะแพงนิดนึง แต่เอาซักหน่อยไม่ได้มาบ่อย จัดอาหารเช้านี้ด้วยร้าน Sweet Dynasty ต้องลงบันไดเลื่อนมาด้านล่างจะเจอกับหน้าเคาน์เตอร์รับแขกนะครับ
อาหารที่สั่งวันนี้ ขอบอกเลยว่าเด็ดทุกเมนู และแนะนำให้สั่งจ้าา เมนูแรก โจ้กไก่+ตับหมู โจ๊กตับหมู (เมนูนี้สั่งเบิ้ลเพราะกินโจ๊กถ้วยแรกแล้วตับอร่อยมากเลยห้ามไม่อยู่เลยจิงๆ)พร้อมทั้งปาท่องโก๋ร้อนๆ ฟินอย่างบอกไม่ถูกเลย พร้อมทั้งชาเย็นที่ไม่เหมือนกินที่ไทยเพราะชาเย็นที่นี่จะจืดมากแต่มีน้ำเชื่อมให้เติม เหมาะสำหรับคนที่ไม่ชอบหวานมากครับ
หลังจากจัดของคาวกันแล้ว มากินของเคียงไว้ทานเล่นอย่าง ขนมจีบกุ้ง ซึ่งภายในมีกุ้งเรียงกันถึงสามชั้นขอบอกเลยเด็ดมากๆๆ แล้วตบท้ายด้วยขนมหวานอย่างเต้าหู้ที่กินกับน้ำผึ้ง ตอนแรกคิดว่ามันจะเข้ากันได้ยังไง พอกินเข้าไปคำแรกโดนมากๆ อร่อยจริงๆครับ
*** ข้อแนะนำสำหรับร้านนี้ บนโต๊ะจะมีน้ำชาวางอยู่บนโต๊ะพร้อมผ้าเย็นอย่าคิดว่าฟรี พวกนี้ถูกรวมราคาแล้ว จะคืนก็สื่อสารกันไม่รู้เรื่อง สรุปโดนบังคับซื้อ ฉะนั้นน้ำชาบนโต๊ะ กินได้เอาให้คุ้ม ผ้าเย็นก็ใช้ซะ ร้านนนี้ค่อนข้างแพง มื้อนี้กินไปประมาณ 400 กว่าเหรียญ โจ๊กที่นี่ชามละ 60+ HK$ น้ำชา+ผ้าเย็น 12 HK$ ชานมแก้วละ 28 HK$ ปาท่องโก๋ 28 HK$ ขนมจีบกุ้ง 68 เต้าหู้ + น้ำผึ้งชุดเล็ก 99 HK$ ถ้าผมจำราคาผิดก็ประทานโทษด้วย ***
จากท่าเรือฮ่องกง ใช้เวลาเดินทาง 1 ชั่วโมง ก็เดินทางมาถึง Taipa Ferry Terminal กันแล้วครับ ภาระหลังจากถึงมาเก๊าอันแรกคือการเดินทางไปสนามบินเพื่อฝากกระเป๋าเดินทางกันครับ เนื่องจากไปถึงไวมากทำให้เคาน์เตอร์สำหรับเช็คอินโหลดกระเป๋ายังไม่เปิดให้บริการสายการบินที่เราเดินทางครับ สำหรับค่าบริการฝากกระเป๋าอยู่ที่ชั้น 2 ของสนามบินคิดค่าบริการ 10 MOP ต่อใบต่อชั่วโมง
จากนั้นเดินทางต่อไปยังจุดหมายปลายทางสุดท้ายของการเดินทางทริปนี้กันแล้ว Macau Tower สามารถนั่งรถ BUS สาย 26 มาได้ แต่สังเกตุค่าโดยสารตอนขึ้น ถ้าเป็น 5 MOP แสดงว่าท่านได้หลงเหมือนผมแล้วยังต้องเสียค่ารถกลับมาอีก 4.3 MOP อีก เนื่องจากสาย 26 ที่วิ่งผ่านสนามบินจะแบ่งเป็น 2 เส้นทาง สังเกตุจากค่าโดยสารได้อย่างเดียว ถ้าขึ้นไปราคา 5 MOP แสดงว่าผิด ต้องขึ้นราคา 3.6 MOP เท่านั้นจะได้ไม่ต้องเสียทั้งเงินและเวลาอย่างผมครับ
หลังจากนั่งรถมาราธอนจนมาถึงจนได้ เลยแวะถ่ายวิวจากภายนอกอาคารและบริเวณร้านค้าใกล้ทางขึ้นอุ่นเครื่องกันก่อนครับ
ค่าบริการขึ้นตึกคนละ 135 MOP ถือว่าคุ้มค่าทีเดียวกับการได้ขึ้นมาชมวิวบนตึกที่สูงระดับโลกก็ถือว่าคุ้มค่าแล้วครับ
จากนั้นก็เดินทางกลับสนามบินเพื่อเตรียมตัวขึ้นเครื่องกลับประเทศไทย และเป็นอันสิ้นสุดการเดินทางในทริปนี้ด้วยครับ สุดท้ายนี้ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้าอ่านกันนะครับ
ส่วนทริปต่อไปจะเดินทางไปไหนกัน ติดตามชมเพิ่มเติมกันได้ที่
Facebook : https://www.facebook.com/TeawMuNDotCom